ข่าวเศรษฐกิจ

สินค้าจีน ตีตลาดในไทยอ่วม ราคาถูกกว่าไทย 3เท่า ไทยรับมืออย่างไร?

16 ก.พ. 67
สินค้าจีน ตีตลาดในไทยอ่วม ราคาถูกกว่าไทย 3เท่า ไทยรับมืออย่างไร?

ทุนจีน กำลังหลั่งไหล่เข้ามาในไทยต่อเนื่อง ตัวเลขล่าสุดพบว่าปี 2566 ทั้งปีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด เท่านั้นยังไม่พอ “สินค้าจากจีน” ยังเข้ามาตีตลาดในไทยอย่างหนัก ทำให้ผู้ประกอบการไทยลดกำลังการผลิตลงเรื่อยๆ หรือนี่เป็นสัญญาณว่า หากสุดท้ายแข่งขันไม่ได้ผู้ผลิตจากไทยอาจต้องปิดกิจการหรือไม่?   

การค้าขายของคนไทยปัจจุบันกำลังเผชิญกับสินค้าจากจีน ที่เข้ามาตีตลาดในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2566 ไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนมูลค่า 469,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากปีที่แล้ว และการนำเข้าสินค้าจากจีนกินสัดส่วนราว 41% ของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด 

สินค้าที่จีนเข้ามาตีตลาดส่วนใหญ่มีทั้งกลุ่มที่เป็นของกินและของใช้ในชีวิตประจำวัน มากที่สุดคือ  เครื่องใช้ไฟฟ้า มีสัดส่วนมูลค่าประมาณ 43.3% รองลงมา ได้แก่ ผักผลไม้สดและปรุงแต่ง 10.0% เสื้อผ้าและรองเท้า 9.3% รวมถึงเครื่องใช้ในบ้านและของตกแต่ง 9.1% เป็นต้น

สินค้าจีน ตีตลาดในไทย

การเข้ามาตีตลาดของสินค้าจากจีน กดดันความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตสินค้าในไทย เพราะสินค้านำเข้าจากจีนบางรายการมีราคาถูกกว่าไทยหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่น สินค้าแฟชั่นอย่างกระเป๋าจากจีนราคาใบละ 100 บาท แต่ไทยมีราคา 499 บาท รองเท้าจากจีน 260 บาทต่อคู่ แต่ไทย 630 บาท เป็นต้น  เห็นราคาถูกกว่าแบบนี้ก็ทำให้สินค้าจีนขายดีกว่าสินค้าจากไทยแน่นอน และสุดท้ายผู้ผลิตสินค้ากระเป๋ารองเท้าจากไทยก็สู้ไม่ได้ เริ่มลดการผลิตลงและอาจต้องปิดกิจการไปในที่สุด  

สินค้าจีน ตีตลาดในไทย

ขณะที่ภาพรวมยอดขายค้าปลีกปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เติบโตชะลอตัวลงจากปีก่อนหรืออยู่ที่ราว 3.0%  มีมูลค่าประมาณ 4.1 ล้านล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะยังคงมีแรงหนุนมาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับผลของราคาสินค้าบางรายการ โดยเฉพาะราคาสินค้าอาหารและของใช้ส่วนตัวที่น่าจะยังปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการสำรวจผู้ประกอบการค้าปลีก พบว่า กว่า 60% ของธุรกิจมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า 

อย่างไรก็ตามแม้ว่า ตลาดค้าปลีกในภาพรวมจะยังเติบโตแต่การแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้าทำให้ผู้ผลิตสินค้าไทยจะยังอยู่ในสถานการณ์การดำเนินธุรกิจที่ยากลำบากต่อไป 

นอกจากการค้าขายแล้วฝั่งของการลงทุนยังพบว่า นักลงทุนจากจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของนักลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอด้วยมูลค่า 159,387 ล้านบาท โดยทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาบีโอไอสรุปยอดต่างชาติขอรับส่งเสริมการลงทุนในไทยมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 5 ปี เงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท มีโครงการจำนวน 1,394  โครงการ นำโดยการลงทุนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์  เกษตรและอาหาร

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT