ตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลายเป็นเดือนทองของนักลงทุนทองคำ เมื่อราคาทองคำในประเทศ พุ่งสูงขึ้นถึง 38,550 บาท ตลอดเดือนบวกเพิ่มขึ้นถึง 3,950 บาท
ตลอดเดือน มีนาคม ทองคำบวกเพิ่ม 3,950 รวมตลอดปี 2567 ราคาทองคำบวกเพิ่มถึง 5,250 (แค่ 3 เดือนแรก) แตะจุดสูงสุดที่ 38,550 บาท ถือว่าปรับตัวสูงขึ้น 14.56% จากต้นปี สร้าง All-time high ถึง 19 ครั้ง ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น ราคาทองคำโลก ยังปรับตัว สูงสุด ที่ 2,234 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.2% จากต้นปี
ปัจจัยหลัก ที่หนุนราคาทองคำพุ่งสูง คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า แตะ 36.50 บาท ส่งผลให้ ราคาทองคำในประเทศ ปรับตัว สูงกว่า ราคาทองคำโลก เดือนมีนาคม กลายเป็น เดือนแห่งสถิติใหม่ สำหรับ ราคาทองคำ ทั้ง ในประเทศ และ ในโลก โดย ราคาทองคำในประเทศ ปรับตัวขึ้นสูงสุด ในรอบ 11 ปี และ ราคาทองคำโลก ปรับตัวขึ้นสูงสุด ในรอบ 10 ปี การพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของราคาทองคำ สะท้อนให้เห็นถึง ความกังวล ของนักลงทุน ต่อ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และ ความไม่แน่นอน ทางการเมือง ด้านนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า ราคาทองคำ ยังมี แนวโน้ม ปรับตัวขึ้น ต่อไป โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2567 นักลงทุน จึงควร ติดตาม สถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสี่ยง และ ตัดสินใจลงทุน ได้อย่างเหมาะสม
ราคาทองคำปิดตลาดใกล้ All-Time High และยังทรงตัวในระดับสูง สัญญาณทางเทคนิค ของราคาทองคำรายวันดูดี เส้น MACD ตัด Signal line ขึ้นมา บ่งชี้ถึง แนวโน้มขาขึ้น ของราคาทองคำ เป้าหมายราคาทองคำปีนี้อยู่ที่ 2,300 ดอลลาร์ ซึ่งอาจมี upside เหลือไม่มาก
ราคาทองคำยังคงรุ่งเรือง ได้รับแรงหนุนจาก แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ย ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ย ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องดอกเบี้ยของสหรัฐนี้น่าสนใจ แง่มุมทางการเมือง ปลายปีนี้มี การเลือกตั้งประธานาธิบดี ธนาคารกลางสหรัฐอาจใช้นโยบาย เอื้อต่อรัฐบาล ด้วยการ ปรับลดดอกเบี้ย การประชุมล่าสุด ของธนาคารกลางสหรัฐ ปรับมุมมองต่อ เศรษฐกิจสหรัฐ ดีขึ้นกว่าการประชุมก่อนหน้า เช่นเดียวกับ ระดับเงินเฟ้อ ที่ธนาคารกลางสหรัฐประเมินว่าจะ ปรับตัวเพิ่มขึ้น มากกว่าการประมาณการครั้งก่อน
สำหรับการประเมินเศรษฐกิจ ของธนาคารกลางสหรัฐ พบว่า ดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน (5.5%) สูงกว่าระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐคำนวณผ่านโมเดล (4.7%) โอกาสที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ย ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ ราว 2-3 ครั้ง และ เร็วที่สุด ในช่วง เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วง ใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ของสหรัฐ
ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ยังคงมีสูง ท่ามกลาง ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามที่อาจปะทุ De-Dollarization และ ความไม่แน่นอน ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไตรมาสแรก ของปีนี้ ผลการเลือกตั้งของ พรรคเดโมแครต และ พรรครีพับลิกัน ชี้ให้เห็นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นายโจ ไบเดน เป็นตัวแทนของแต่ละพรรค นโยบายของพวกเขาจะส่งผลต่อ มุมมองของนักลงทุน ในเรื่อง การค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และ นโยบายเศรษฐกิจ
ประเด็นร้อนแรง คือ นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการนำ อัตราแลกเปลี่ยนที่อิงกับราคาทองคำ กลับมาใช้ เขาอ้างว่า สหรัฐไม่มีทองคำ เหลือแล้ว ประเด็นนี้จุดประเด็นถกเถียงว่า สหรัฐยังมีทองคำอยู่จริงหรือไม่ ด้านข้อมูล ระบุว่า สหรัฐเก็บทองคำไว้ที่ ฟอร์ท น็อกซ์ รัฐเคนทักกี และ US Federal Reserve สาขานิวยอร์ก แต่ ไม่เคยมีการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ มานาน ทำให้เกิดข้อสงสัย และหากนำมาตรฐานทองคำกลับมาใช้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรง ปริมาณทองคำที่มีในโลก ไม่เพียงพอต่อ ปริมาณการค้าระหว่างประเทศ สภาพคล่องในระบบจะหดหาย ราคาทองคำ จะปรับตัวขึ้น แต่ ภาคส่วนอื่นๆ จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อ้างอิงข้อมูลจาก