
ศาลฎีกาสหรัฐฯอยู่ระหว่างพิจารณาคดีที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน (IEEPA) ในการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวทรัมป์ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ได้
มีความเป็นไปได้ว่าศาลสูงตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ว่าการที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีโดยใช้อำนาจ IEEPA นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผลให้การเรียกเก็บภาษีของทรัมป์ต้องยกเลิกไป
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะไม่สามารถเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ เพราะยังมีช่องตามกฎหมายอื่นๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ารัฐบาลของทรัมป์จะหันไปเรียกเก็บภาษีภายใต้กฎหมายอื่นแทน
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2025 โดยอ้างคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯว่า ทีมบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเร่งเตรียมแผนสำรองอย่างเงียบๆ เพื่อหามาตรการภาษีมาทดแทนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากศาลสูงสหรัฐฯ ตัดสินให้ยกเลิกอำนาจการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของทรัมป์
แหล่งข่าวของบลูมเบิร์กซึ่งรู้เรื่องการเตรียมแผนสำรองดังกล่าวบอกว่า ทั้งกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ศึกษา “แผน B” ไว้แล้ว ซึ่งตัวเลือกที่พิจารณากัน คือ มาตรา 301 และมาตรา 122 ของกฎหมายการค้า ซึ่งเปิดทางให้ประธานาธิบดีกำหนดภาษีนำเข้าได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านสภาคองเกรส แต่มาตรการทดแทนเหล่านี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะส่วนมากจะดำเนินการได้ช้ากว่า หรือมีขอบเขตจำกัดกว่าอำนาจ IEEPA ที่ทรัมป์ใช้อยู่ในตอนนี้ และมีโอกาสถูกท้าทายทางกฎหมายเช่นกัน
ทีมบริหารของทรัมป์ยังคงมีความหวังว่าจะชนะคดีนี้ และทรัมป์เองได้เรียกร้องหลายครั้งให้ผู้พิพากษาคงมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเขากำหนดขึ้นโดยอ้างอ้างว่าจำเป็นต่อการรับมือภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การเตรียมการมาตรการภาษีสำรองครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ หลังจากที่ผู้พิพากษาศาลสูงตั้งคำถามอย่างเห็นได้ชัดต่อมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ในระหว่างการไต่สวนปากคำในเดือนนี้ นอกจากนั้น ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทรัมป์ที่จะเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรต่อไป แม้จะต้องใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่ไม่เคยมีการทดสอบมาก่อนก็ตาม
“ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ภาษีศุลกากรจะยังคงเป็นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์” แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบอกกับบลูมเบิร์ก
คำบอกเล่าเหล่านี้สอดคล้องกับที่ผู้เชี่ยวชาญและคนในแวดวงการค้าคาดไว้ก่อนหน้านี้ และตรงกับที่โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธที่ 19 พฤศจิกายนว่า “เรากำลังรอคำตัดสิน เราหวังว่าจะออกมาดี แต่ถ้าไม่ดี เราก็จะทำ เราหาวิธีได้เสมอ คุณก็รู้ว่าเราหาวิธีได้”
ด้านทำเนียบขาวไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดการเตรียมความพร้อม แต่ยอมรับว่ากำลังมองหา “แนวทางใหม่ๆ” เพื่อคงนโยบายการค้าของทรัมป์เอาไว้ โดยคุช เดไซ (Kush Desai) โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้อำนาจภาษีฉุกเฉินที่สภาคองเกรสมอบให้ฝ่ายบริหารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐบาลมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะในศาลสูง ขณะเดียวกันรัฐบาลยังคงมองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาดุลการค้าสินค้าในระดับประวัติการณ์ของสหรัฐฯ และดึงการผลิตที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจสหรัฐฯกลับคืนสู่ประเทศ
ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าศาลสูงจะตัดสินคดีเมื่อใด ซึ่งผลการตัดสินนั้นมีหลายความเป็นไปได้ ทั้งการรับรองความชอบธรรมของการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หรือยกเลิกการเรียกเก็บภาษีทั้งหมด หรือให้เรียกเก็บภาษีได้แบบเจาะจงหรือจำกัดขอบเขตกว่าเดิม ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ย่อมสร้างความไม่แน่นอนต่อภาคธุรกิจและรัฐบาลต่างชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สก็อต ลินซิโคม (Scott Lincicome) รองประธานด้านเศรษฐศาสตร์ทั่วไปของสถาบันวิจัยคาโต (Cato Institute) เชื่อว่าทีมของทรัมป์จะรีบกลับมากำหนดภาษีใหม่ทันที รัฐบาลทรัมป์จะไม่ละทิ้งการเก็บภาษีศุลกากร
เจมส์ แบลร์ (James Blair) รองหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า เขาเชื่อว่ามีโอกาส 50-50 หรือมากกว่านั้นเล็กน้อยที่รัฐบาลจะชนะคดีนี้ แต่หากแพ้ เจ้าหน้าที่ก็จะกลับมากำหนดภาษีที่ถูกยกเลิกโดยทันที ผ่านเครื่องมืออื่นๆ
ตามการประเมินของ บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ (Bloomberg Economics) อัตราภาษีสินค้านำเข้าที่สหรัฐฯเรียกเก็บในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ราว 14.4% ซึ่งมากกว่าครึ่งของภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นการเรียกเก็บตามอำนาจ IEEPA ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ภาษีส่วนใหญ่จะถูกแทนที่โดยภาษีภายใต้กฎหมายอื่นในที่สุด หากศาลสูงตัดสินให้ยกเลิกภาษีการจัดเก็บภาษีอัตราตอบโต้รายประเทศที่ใช้อำนาจ IEEPA
ในบางกรณี การเก็บภาษีภายใต้กฎหมายสำรองถูกนำมาใช้แล้ว อย่างเช่น การเปิดสอบสวนตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้า ต่อบราซิล และจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าบางรายการจากจีนภายใต้มาตรา 301 ตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่โดยทั่วไปแล้ว การเก็บภาษีภายใต้มาตรา 301 กำหนดให้ต้องมีการสอบสวนเป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มบังคับใช้ภาษีศุลกากรได้
เควิน แฮสเซตต์ (Kevin Hassett) ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Economic Council) เป็นอีกคนหนึ่งที่กล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์มีทางเลือกมากมายในการเรียกเก็บภาษี ทรัมป์อาจหันไปใช้อำนาจตามมาตรา 301 หรือ 122 เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้า หากศาลฎีกาตัดสินคัดค้านรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์ไม่อยากใช้อำนาจตามมาตตรา 122 เท่าไรนัก เพราะแม้ว่าอำนาจตามมาตรา 122 ของกฎหมายการค้าจะช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถกำหนดอัตราภาษีได้ 15% ซึ่งเป็นระดับที่ทรัมป์ใช้เจรจากับหลายประเทศ แต่กฎหมายกำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 150 วัน ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์เคยบอกว่า ด้วยข้อจำกัดด้านระยะเวลานี้ทำให้รัฐบาลไม่คิดจะพึ่งพามากฎหมายตรานี้มากนัก
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังใช้มาตรา 232 ของกฎหมายส่งเสริมการขยายการค้า (Trade Expansion Act) เพื่อกำหนดภาษีต่ออุตสาหกรรมหลายกลุ่ม เช่น เหล็กและรถยนต์ ซึ่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ประกาศการสอบสวนใหม่และกำหนดอัตราภาษีใหม่ นอกจากนี้ ยังเพิ่มรายการสินค้าสำเร็จรูปเข้าไปภายใต้มาตรการภาษีดังกล่าว ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับคู่ค้าบางราย รวมถึงยุโรปที่ระบุว่า มาตรการดังกล่าวลดเพดานภาษีศุลกากรเฉพาะภาคส่วนในข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพยุโรป
มาตรา 338 ของกฎหมายศุลกากร (Tariff Act) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ทรัมป์อาจใช้ แต่ก็มีแนวโน้มจะนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายครั้งใหม่ เพราะเป็นเครื่องมือที่ไม่เคยถูกใช้มาก่อน
สก็อต ลินซิโคม จากสถาบันวิจัยคาโต วิเคราะห์ว่า หากทรัมป์ใช้กฎหมายมาตรานี้ น่าจะถูกฟ้องร้องทันที “ผมค่อนข้างมองโลกในแง่ดีว่าเราจะหลีกเลี่ยงการกลับไปสู่ความวุ่นวายในปี 2025 ได้”
อย่างไรก็ตาม ลินซิโคมบอกว่า การใช้อำนาจตามกฎหมายใหม่ๆ เหล่านี้จะบังคับใช้ได้ไม่ง่ายนัก เพราะกฎหมายมีข้อจำกัด รัฐบาลอาจต้องตอบคำถามทางกฎหมายใหม่ๆ เช่น รัฐบาลสามารถใช้ภาษีตามมาตรา 122 แบบซ้อนกันได้หรือไม่ หรือใช้วิธียกเลิกก่อนครบกำหนดแล้วเริ่มรอบใหม่ได้หรือไม่ หรือสามารถเก็บภาษีย้อนหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการคืนเงินที่จัดเก็บภายใต้ระบบเดิมได้หรือไม่
“มันจะยุ่งเหยิงมาก” ลินซิโคมกล่าว
ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ ประมาณการว่า รัฐบาลสหรัฐฯต้องคืนเงินที่จัดเก็บไปกว่า 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากศาลฎีกาตัดสินว่าการใช้อำนาจของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสังให้คืนเงินภาษีแก่ผู้จ่ายภาษี