ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่รัฐบาลกำลังใช้จ่ายเงินภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการแจกเงินที่จะเพิ่มกำลังจับจ่ายของครัวเรือน แต่ประเทศเพื่อนบ้านร่วมอาเซียนอย่างอินโดนีเซียก็กำลังจะแจกเงินให้ประชาชนโดยใช้งบประมาณ 30 ล้านล้านรูเปีย (ประมาณ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 59,000 ล้านบาท) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน
การกระตุ้นเศรษฐกิจของอินโดนีเซียนั้นน่าสนใจ เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของอินโดนีเซียไม่ได้อ่อนแออย่างไทย ตามการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้จะโตได้ 4.8% ส่วนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดโต 4.9% ซึ่งถือว่าโตไวเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคด้วยซ้ำ
พิจารณาจากคำอธิบายของรัฐบาลอินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินโดนีเซียแจกเงินในครั้งนี้เพื่อสองเป้าหมายหลักๆ คือ เพื่อเป็นการช่วยเหลือทางสังคมแก่คนยากจน และพยุงกลุ่มเปราะบางไม่ให้ร่วงลงไปเป็นคนยากจน ขณะเดียวกันก็เพื่อเติมเชื้อเพลิงให้การบริโภคของครัวเรือน (ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ) มีแรงขับเคลื่อนต่อไป เป็นการรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้แรงต่อเนื่องและหวังจะหนุนให้เติบโตแบบเร่งตัวขึ้นได้อีก
ตามการรายงานของนิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า อินโดนีเซียจะขยายโครงการแจกเงินช่วยเหลือแก่ครัวเรือนรายได้น้อย โดยอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 30 ล้านล้านรูเปีย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปีนี้
แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (Airlangga Hartarto) รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย กล่าวในการแถลงข่าวว่า ประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) สั่งการให้เพิ่มเงินช่วยเหลือโดยตรงในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ให้กับ 35 ล้านครัวเรือน ซึ่งจะครอบคลุมประชาชนประมาณ 140 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ
รัฐบาลอินโดนีเซียอธิบายรายละเอียดการแจกเงินว่า ครัวเรือนที่มีสิทธิ์รับเงินจะได้รับเงินช่วยเหลือแบบจ่ายครั้งเดียว 900,000 รูเปีย (54 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อครัวเรือน ส่วนครัวเรือนยากจนที่สุดซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือ 600,000 รูเปียต่อสามเดือนภายใต้โครงการช่วยเหลือในปัจจุบัน จะได้รับเงินรวม 1.5 ล้านรูเปียในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยจะเริ่มแจกในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 1 ปีการบริหารประเทศของประธานาธิบดีซูเบียนโต
ไซฟุลเลาะห์ ยูซุฟ (Saifullah Yusuf) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมของอินโดนีเซียอธิบายว่า การกำหนดรายชื่อผู้ได้รับเงินรายใหม่นั้นพิจารณาจากการสำรวจสำมะโนเศรษฐกิจระดับชาติ ซึ่งจำแนกระดับฐานะของครัวเรือนออกเป็น ‘ยากจนมาก’ ‘ยากจน’ ‘เกือบยากจน’ หรือ ‘เปราะบาง’ ซึ่งประชากรที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางไปจนถึงยากจนมากนั้นมีอยู่ประมาณ 40% ของประชากรทั้งหมด
ไซฟุลเลาะห์ ยูซุฟ กล่าวอีกว่า งบประมาณ 30 ล้านล้านรูเปียนี้เป็นการจ่ายเพิ่มเติมจากงบฯ 70 ล้านล้านรูเปียที่รัฐบาลจัดสรรไว้สำหรับความช่วยเหลือทางสังคมในปีนี้ เมื่อรวมกันแล้ว งบประมาณความช่วยเหลือทางสังคมทั้งหมดของอินโดนีเซียในปีนี้จะสูงถึง 100 ล้านล้านรูเปีย ซึ่งรัฐบาลคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะช่วยรักษากำลังซื้อของครัวเรือน และช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ด้านปูร์บายา ยูธี ซาเดวา (Purbaya Yudhi Sadewa) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซียกล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้อาจช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ให้โตได้ถึง 5.67%
ทั้งนี้ การบริโภคภาคครัวเรือนเป็นเครื่องยนต์หลักในการเคลื่อนเศรษฐกิจอินโดนีเซีย โดยมีสัดส่วน 54.25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ด้วยบทบาทที่สำคัญเช่นนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียจึงหวังว่าโครงการช่วยเหลือสังคมที่ขยายให้ครอบคลุมประชาชนกว้างขึ้นนี้ จะเป็นรากฐานสำหรับเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซียกล่าวว่า หากเศรษฐกิจแข็งแกร่งดี มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 6% อาจไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการแจกเงินช่วยเหลือนี้อีกต่อไป ทั้งนี้ เขาคาดการณ์ว่า ถ้าเศรษฐกิจเติบโตแบบเร่งตัวขึ้น ‘กลุ่มเปราะบาง’ จะหลุดออกจากโครงการช่วยเหลือนี้ได้ในที่สุด เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น จะส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของพวกเขาดีขึ้น
“หากเศรษฐกิจยังเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปอีกสองถึงสามปี ผลประโยชน์จะตกอยู่กับชนชั้นล่างๆ” รมว.คลังอินโดนีเซียกล่าว