เพราะมีเวลาจำกัด ‘รัฐบาลอนุทิน’ จึงดำเนินนโยบายภายใต้แนวคิด ‘Quick Big Win’ ที่หวัง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” และกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือที่เรียกกันว่า ‘ครม.เศรษฐกิจ’ ทุกบ่ายวันจันทร์ ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคาร
วันนี้ (15 ตุลาคม 2568) เริ่มการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วยปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุม โดยมีวาระสำคัญเรื่องที่หนึ่ง คือ วันนี้ (15 ตุลาคม 2568) เป็นวันแรกของโครงการคนละครึ่งพลัส จึงอยากเชิญชวนร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มยอดขายได้
รองนายกฯ และ รมว.คลัง อธิบายว่า พ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในโครงการคนละครึ่งในอดีตที่ใช้ถุงเงินเป็นประจำ ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนร้านค้าที่ยังไม่เคยใช้ถุงเงิน เปิดให้สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ (15 ตุลาคม) ถึง 19 ธันวาคม 2568 โดยดาวน์โหลดใบสมัครจากเว็บไซต์คนละครึ่งพลัส.com ส่วนหลักฐานที่ต้องใช้ในการสมัคร คือ บัตรประชาชนและรูปถ่ายร้านค้า เมื่อสมัครแล้วรอเวลาตรวจสอบการยืนยันตัวตน 2-3 วัน
สำหรับประชาชนที่เป็นผู้ซื้อ จะเปิดลงทะเบียนในวันที่ 20 ตุลาคมผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ โดยกำหนดอายุผู้ได้รับสิทธิ์ 16 ปีขึ้นไป และจะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568
เอกนิติเปิดเผยอีกว่า วาระการประชุมเรื่องที่ 2 เป็นการรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายฯว่า รัฐบาลได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำหรับคนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะมีเงินเติมเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ จากปกติมีเงินโอนเข้า 300 บาทต่อเดือน รัฐบาลจะเติมให้อีก 1,700 บาท ในวันที่ 29 ตุลาคม ซึ่งผู้ถือบัตรจะสามารถใช้สอยสินค้าที่จำเป็นได้เหมือนผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส โดยสามารถใช้สิทธิ์ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม
รองนายกฯและ รมว.คลังบอกอีกว่า ในการประชุมวันนี้มีการเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ในเรื่องมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำเสนอในการประชุม ครม. สัปดาห์ถัดไป โดยมาตรการส่วนที่ 1 คือ ลดหย่อนภาษีสูงสุด 20,000 บาทสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเริ่มในวันที่ 29 ตุลาคมไปจนถึง 15 ธันวาคม 2568
ส่วนที่ 2 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรองและกำลังซื้อของประชาชน ยกตัวอย่างการคำนวณ หากมีการใช้จ่ายในเมืองรอง 10,000 บาท สามารถลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท และในส่วนสถานประกอบการ รัฐบาลเตรียมเสนอให้โรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในเมืองรองสามารถหักภาษีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรมได้ใน 2 เท่า เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว
“ทางสภาหอการค้าฯเสนอว่า นิติบุคคลก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยพาพนักงานเที่ยวในประเทศแทนการเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งในส่วนนี้ อยู่ในขั้นตอนพิจารณาว่าจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร เนื่องจากเป็นข้อเสนอใหม่จากภาคเอกชน”
รองนายกฯและ รมว.คลังบอกอีกว่า ในส่วนภาครัฐ ทั้งรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณสำหรับการอบรมสัมมนาอยู่แล้ว ต้องเร่งเบิกจ่ายงบอบรมสัมมนาให้ได้ 60% ของงบฯอบรมสัมมนาทั้งหมดภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวทรุดมากในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ โดยการใช้จ่ายในประเทศลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้น ต้องใช้มาตรการ front loading (เร่งใช้จ่ายตั้งแต่ช่วงต้นปีงบฯ) เพื่อฟื้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทยให้ฟื้นจากลบ
ส่วนเรื่องที่ 3 ในวาระการประชุม คือ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งรองนายกฯและ รมว.คลังให้ข้อมูลว่า จากรายงานของกรมบัญชีกลางพบว่า ในปีงบประมาณ 2568 มีงบประมาณเหลือกว่า 300,000 ล้านบาท ที่ไม่ได้ถูกใช้ทันเวลา ส่งผลให้รัฐมีเงินสะสมมาใช้ในปีนี้ ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าหมายให้หน่วยงานเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 93% ของงบประมาณประจำ และไม่ต่ำกว่า 75% สำหรับงบลงทุน พร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าเป็นรายเดือน และกำหนดเป็น KPI สำหรับหัวหน้าหน่วยงาน
เรื่องที่ 4 คือ การมอบนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รองนายกฯและ รมว.คลังเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบกรอบในการทำงานว่า ทุกกระทรวงต้องมีแผนงานที่เป็น ‘Quick Big Win’ เพราะรัฐบาลมีเวลาจำกัดถึงวันที่ 31 มกราคม 2569
“นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทางให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) รายเดือน โดยเน้นโครงการที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง มีผลกระตุ้นในระยะสั้น และสามารถกระจายรายได้ได้ทั่วถึงทั่วประเทศ…” เอกนิติกล่าว