Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
KKP ชี้แค่ลดดอกเบี้ยไม่พอ ไทยต้องปฏิรูปศก. ไม่งั้นติดหล่ม‘Lost Decade’
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

KKP ชี้แค่ลดดอกเบี้ยไม่พอ ไทยต้องปฏิรูปศก. ไม่งั้นติดหล่ม‘Lost Decade’

17 ส.ค. 68
14:07 น.
แชร์

ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มใช้นโยบายดอกเบี้ยขาลงเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ เสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายกลับเตือนชัดว่า “การเงินอย่างเดียวไม่พอ” เพราะปัญหาที่ไทยเผชิญอยู่ไม่ได้เป็นเพียงการชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานและกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อธิบายว่า แม้มาตรการลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนและสร้างแรงกระตุ้นการลงทุนในระยะสั้น แต่ก็ไม่อาจผลักดันให้เกิดเครื่องยนต์การเติบโตใหม่ได้ หากไม่ได้รับการหนุนเสริมจากฝั่งการคลังที่แข็งแรงและมีทิศทางชัดเจน

บทเรียนจากญี่ปุ่นเมื่อทศวรรษที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างชัดเจนว่า นโยบายการเงินที่อัดฉีดเพียงอย่างเดียวไม่อาจพลิกเศรษฐกิจได้ หากขาดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับผลิตภาพ และมาตรการทางการคลังที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว สำหรับไทย นั่นหมายถึงความจำเป็นของนโยบายการคลังที่กล้าลงทุนเพื่อเสริมทักษะแรงงาน ดึงดูด FDI และปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้แข่งขันได้ พร้อมไปกับการปรับนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

เมื่อดอกเบี้ยลดลงเรื่อย ๆ แต่ “policy space” ของธปท. เริ่มจำกัด ทางรอดเดียวคือการประสานนโยบายการเงินและการคลังเข้าด้วยกัน หากปล่อยให้ภาระทั้งหมดตกอยู่บนไหล่ของธนาคารกลาง เศรษฐกิจไทยอาจเสี่ยงไม่เพียงแค่ซึมยาว แต่กลายเป็น “ทศวรรษที่สูญหาย” (Lost Decade) ในการเติบโตที่แท้จริง

ดอกเบี้ยลดกับแรงกระตุ้นดีมานด์และผลต่อภาคการผลิต

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจาก 1.75% เป็น 1.5% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย เพราะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ทำให้ประชาชนตัดสินใจจับจ่ายและลงทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งในด้านการซื้อบ้าน รถยนต์ หรือการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นแรงกระตุ้นฝั่งดีมานด์โดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ธนาคารกลางมีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในระยะข้างหน้า ก็ยิ่งช่วยเสริมความคาดหวังในตลาดและสร้างแรงขับเคลื่อนทางจิตวิทยาที่เอื้อต่อการตัดสินใจใช้จ่ายมากขึ้น

สำหรับภาคการผลิต ผลกระทบสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยซบเซาเพราะดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ยอดขายรถลดลง แต่เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลง ต้นทุนการกู้ซื้อรถก็จะถูกลง ซึ่งมีโอกาสทำให้ผู้บริโภคกลับมาตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และช่วยประคองอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยได้ เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่มีแนวโน้มจะได้อานิสงส์จากการที่ประชาชนกล้าตัดสินใจซื้อบ้านและลงทุนมากขึ้น

ในด้านหนี้ครัวเรือน แม้โครงสร้างของหนี้ในไทยส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดด้านกระแสเงินสด ทำให้การลดดอกเบี้ยอาจไม่ได้ช่วยบรรเทาภาระได้โดยตรงมากนัก แต่ก็ยังช่วยลดภาระของการชำระหนี้บางส่วน และมีผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน การที่ดอกเบี้ยต่ำลงยังช่วยให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดูผ่อนคลายขึ้น และเพิ่มโอกาสให้เกิดแรงกระตุ้นใหม่ ๆ ในระบบเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ มองว่า ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่คือ “การส่งผ่านนโยบายการเงิน” หากธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเกินไป ผลของการลดดอกเบี้ยก็อาจไม่เกิดขึ้นเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาตัวเลขการเติบโตของสินเชื่อยังติดลบ สะท้อนว่าสภาพคล่องในระบบการเงินยังอยู่ในภาวะตึงตัว

ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตาคือความมั่นใจของธนาคารพาณิชย์เองว่าจะกล้าปล่อยกู้เพิ่มขึ้นภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่ากลไกทางการเงินจะถูกส่งผ่านไปสู่ภาคครัวเรือนและธุรกิจจริง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด

พื้นที่นโยบายที่จำกัดและโจทย์ท้าทายของ ธปท.

ทั้งนี้ แม้การลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่ ดร.พิพัฒน์ ก็ยอมรับว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ “พื้นที่นโยบายการเงิน” (policy space) ที่เหลืออยู่นั้นค่อนข้างจำกัด เพราะตลอดที่ผ่านมา ธปท. ไม่เคยลดดอกเบี้ยลงต่ำกว่า 0.5% เลยนอกจากในช่วงวิกฤตโควิด-19 เท่านั้น หากเทียบกับภาวะปัจจุบัน แม้จะยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ก็สะท้อนว่ากระสุนดอกเบี้ยที่เหลือมีไม่มาก และทุกครั้งที่ปรับลด ก็ย่อมทำให้พื้นที่ในการดำเนินนโยบายแคบลงเรื่อย ๆ

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า หากในที่สุดดอกเบี้ยลดลงจนเข้าใกล้ระดับ “effective lower bound” ที่ 0.5% จริง ๆ ธปท. จะยังมีเครื่องมือใดเหลืออยู่บ้าง ประสบการณ์จากต่างประเทศสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อดอกเบี้ยต่ำติดดิน ธนาคารกลางจำเป็นต้องหันไปพึ่งพามาตรการเสริม ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเฉพาะกลุ่ม การส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยล่วงหน้า (forward guidance) หรือการทำงานร่วมกับรัฐบาลด้านการคลัง เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนใหม่ ๆ ให้กับเศรษฐกิจ โดย  ดร.พิพัฒน์ เปรียบว่า เมื่อ “กระสุนหมด” ธนาคารกลางหรือรัฐบาลก็ยังต้องหยิบเอา “ดาบหรือก้อนหิน” มาใช้ในการต่อสู้ต่อ หากโจทย์ทางเศรษฐกิจยังไม่สิ้นสุด

แม้ปัจจุบันอาจยังไม่ใช่สถานการณ์ที่ต้องใช้มาตรการถึงขั้นนั้น แต่การ “explore” หรือการแสวงหาเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อต่อยอด policy space ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและ ธปท. ควรเริ่มคิดตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการมีทางเลือกสำรองจะช่วยลดความเสี่ยงหากเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญภาวะไม่คาดคิด

ขณะเดียวกัน บทบาทของ ธปท. ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการกำหนดนโยบายดอกเบี้ย แต่ยังครอบคลุมถึงการกำกับดูแลระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ และรองรับนวัตกรรมใหม่ ๆ การดูแลให้สถาบันการเงินทำหน้าที่ส่งผ่านนโยบายได้จริง และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดทับการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะ “หนี้ครัวเรือน” ที่ยังเป็นภาระสะสมยาวนานและกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อ 

นอกจากนี้ ปัญหาค่าเงินบาทที่ผันผวนก็เป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงกดดันทั้งเชิงวัฏจักร (cyclical) และเชิงโครงสร้าง (structural) พร้อมกัน ทำให้ศักยภาพการเติบโต (potential growth) ลดลงเหลือเพียง 2-2.5% จากที่เคยเติบโตได้ 5-7% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าระดับศักยภาพ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ต่างจาก “พายุสมบูรณ์แบบ” (perfect storm) ที่ทั้งโครงสร้างและวัฏจักรถาโถมเข้ามาพร้อมกันและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่จึงเผชิญโจทย์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในระยะสั้น แต่ต้องรับผิดชอบต่อการบริหารสมดุลเชิงนโยบายท่ามกลางพายุเศรษฐกิจที่ทั้งซับซ้อน ยืดเยื้อ และมีมิติหลากหลายมากกว่าที่เคยเผชิญมาในอดีต

หากไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไทยอาจเสี่ยงเข้าสู่ “Lost Decade” แบบญี่ปุ่น

สำหรับปัญหาโครงสร้างที่ไทยกำลังเผชิญ ดร.พิพัฒน์ มองว่าปัญหาเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ใช่เพียงภาวะชะลอตัวชั่วคราว แต่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน พื้นฐานเศรษฐกิจกำลังอ่อนแอลงจากหลายปัจจัย ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เพียงพอ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ลดลงต่อเนื่อง

สถานการณ์นี้คล้ายกับสิ่งที่ญี่ปุ่นเผชิญเมื่อปี 2011 ซึ่งเศรษฐกิจตกอยู่ท่ามกลาง “perfect storm” หลังจากเจอแรงกดดันเงินเฟ้อยาวนานกว่า 10 ปี ญี่ปุ่นจึงต้องใช้นโยบายหลายด้านประสานกัน (policy coordination) เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ โดยมีทั้ง

  • นโยบายการเงิน ที่มุ่งเน้นการควบคุมเงินเฟ้อ พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอย่างเต็มที่
  • นโยบายการคลัง ที่สนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่ม productivity แต่ไม่สร้างปัญหาความยั่งยืนทางการคลัง โดยรัฐบาลยังตัดสินใจขึ้นภาษีเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพการคลัง
  • การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ

ดร.พิพัฒน์ เล่าว่า ญี่ปุ่นในเวลานั้นเร่งเดินหน้าปฏิรูปหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม labor participation เพื่อแก้ปัญหาสังคมสูงวัย เปิดโอกาสให้แรงงานหญิงกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้น การเข้าร่วมความตกลงทางการค้าเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรม รวมถึงการปฏิรูปกฎเกณฑ์ด้านธุรกิจและการกำกับดูแล (corporate governance) เพื่อทำให้การลงทุนในญี่ปุ่นน่าสนใจขึ้น 

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังใช้มาตรการ deregulation ในหลายภาคส่วน เช่น ภาคเกษตร ที่มีการแก้กฎหมายห้ามบริษัทถือครองที่นา ให้สามารถรวมแปลงเกษตรขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเพิ่มผลผลิต ตลอดจนปฏิรูประบบธุรกิจและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและยกระดับศักยภาพการแข่งขันโดยรวม

สำหรับไทย บทเรียนจากญี่ปุ่นชี้ชัดว่าการพึ่งพาการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ หากต้องเร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ FDI เข้ามาลงทุน การยกระดับแรงงานผ่านการอัพสกิลและรีสกิล การปฏิรูปการศึกษา และแม้กระทั่งการพิจารณานโยบายการย้ายถิ่นฐาน (immigration policy) เพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศเข้ามาเติมเต็มตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องปฏิรูปเชิงสถาบัน เช่น การลดคอร์รัปชัน แก้ปัญหาการผูกขาด และสร้างบรรยากาศการลงทุนที่มั่นคง โปร่งใส และคาดการณ์ได้

สิ่งสำคัญคือการทำให้ FDI ไม่ได้เป็นเพียงเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามา แต่ต้อง engage กับ local supply chain เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เพื่อสร้าง value added เพิ่มผลิตภาพในระบบเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้เกิด technology transfer สู่แรงงานและผู้ประกอบการไทย หากสามารถทำได้ก็จะช่วย “พลิก” สถานการณ์ให้กลายเป็นภาพเชิงบวกและยกระดับศักยภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า หากไทยยังไม่เดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง แนวโน้มที่เห็นได้ชัดคือเศรษฐกิจจะเติบโตชะลอตัวต่อเนื่อง เสี่ยงเข้าสู่ “lost decade” ที่ถดถอยเรื้อรัง ไม่เกิดการฟื้นตัวแบบฉับพลันเหมือนวิกฤตปี 2540 แม้วันนี้ไทยยังมีจุดแข็ง เช่น ทุนสำรองสูง อัตราเงินเฟ้อต่ำ และไม่มีความเสี่ยงฟองสบู่หรือหนี้ต่างประเทศ แต่หากไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อาจดึงดูดการลงทุนได้มากกว่า และทำให้ไทยเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลังในเวทีเศรษฐกิจโลก


แชร์
KKP ชี้แค่ลดดอกเบี้ยไม่พอ ไทยต้องปฏิรูปศก. ไม่งั้นติดหล่ม‘Lost Decade’