วิกฤติชายแดนที่ปะทุขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังกวาดแรงงานกัมพูชากลับบ้านนับเกือบหนึ่งล้านคน ทิ้งช่องโหว่ขนาดใหญ่ให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยที่ต้องพึ่งแรงงานเหล่านี้อย่างยิ่งยวด ตั้งแต่ไร่นาและโรงงานจนถึงโครงการก่อสร้างและสายการผลิตอาหารทะเล หลายธุรกิจต้องชะลอการดำเนินงานเพราะขาดคนทำงาน ขณะที่ต้นทุนการดำเนินการเริ่มขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Khmer Times สื่อกัมพูชาระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ กระทรวงมหาดไทยตัดสินใจ “ห้ามเลือด” ทางเศรษฐกิจด้วยการประกาศยกเว้นพิเศษ อนุญาตให้แรงงานกัมพูชาที่ยังคงพำนักอยู่ในประเทศไทยสามารถอยู่และทำงานต่อได้ชั่วคราว มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อค้ำยันกำลังการผลิต ป้องกันไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก และรักษาเสถียรภาพของภาคเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยแรงงานต่างด้าวในระดับสูง โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะหรือประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมซึ่งต้องพึ่งพากำลังคนอย่างต่อเนื่อง
การยกเว้นดังกล่าวครอบคลุมแรงงานที่เคยได้รับใบอนุญาตทำงานภายใต้มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในพื้นที่ชายแดนและภาคส่วนที่ใช้แรงงานหนาแน่น แรงงานกลุ่มนี้ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้เนื่องจากการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดขึ้นหลังเหตุปะทะ มาตรการจึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยรักษากำลังแรงงานในช่วงเวลาที่การสรรหาแรงงานใหม่แทบหยุดชะงักลง
ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ แรงงานที่ใบอนุญาตทำงานหรือสิทธิพำนักในพื้นที่ชายแดนหมดอายุตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน สามารถอยู่ในประเทศไทยต่อได้อีกหกเดือน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ช่วยให้นายจ้างสามารถปรับแผนการจัดสรรบุคลากรและรักษาระดับการผลิตให้ต่อเนื่อง โดยแรงงานที่เข้าเกณฑ์จะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองภายใน 15 วันหลังประกาศ และต้องรายงานซ้ำทุก 30 วัน เพื่อให้รัฐสามารถติดตามสถานะของแรงงานข้ามชาติอย่างใกล้ชิด การติดตามนี้ไม่เพียงสร้างกลไกกำกับดูแล แต่ยังเปิดโอกาสให้นายจ้างปรับกลยุทธ์ด้านบุคลากรเพื่อลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของธุรกิจ
กระทรวงมหาดไทยระบุว่า มาตรการจะสิ้นสุดลงเมื่อสถานการณ์ชายแดนกลับสู่ภาวะปกติ หรือครบกำหนดหกเดือน แต่ก็สามารถเพิกถอนได้ก่อน หากแรงงานมีความผิดทางอาญา ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือกระทำการฝ่าฝืนเงื่อนไขอื่น ๆ แม้จะถูกนำเสนอในเชิงมนุษยธรรม แต่มาตรการนี้ยังทำหน้าที่เป็น “เกราะกันแรงงาน” ทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยคงแรงงานกัมพูชาที่เหลืออยู่ในประเทศและลดแรงกระแทกจากการขาดแคลนแรงงาน
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชาเพิ่มมาตรการตรวจเข้มชายแดนทุกจุดเพื่อตรวจสอบการเดินทางเข้าออก ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานถูกจำกัดและกระทบกระบวนการสรรหาแรงงานใหม่ โดยเฉพาะในภาคที่ใช้แรงงานหนาแน่นอย่างเกษตรกรรม ก่อสร้าง แปรรูปอาหารทะเล และการผลิต การสูญเสียแรงงานกัมพูชาแม้เพียงบางส่วนก็สามารถทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิต และผลักดันต้นทุนการดำเนินงานให้สูงขึ้น
เช เทช นักวิจัยด้านสังคมเศรษฐกิจของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times ว่า หลังจากเกิดความตึงเครียดชายแดน แรงงานกัมพูชากว่าเก้าแสนคน รวมถึงนักศึกษาบางส่วน ได้ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเลือกปฏิบัติและความรุนแรง การขยายเวลาการอนุญาตครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงมาตรการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อจูงใจให้แรงงานที่เหลืออยู่พำนักต่อและช่วยลดการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญ
เขาอธิบายว่า หากไม่มีมาตรการเช่นนี้ ภาคก่อสร้างและการผลิตอาจเผชิญความปั่นป่วนรุนแรง เพราะแรงงานกัมพูชามีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในเศรษฐกิจไทย และการหายไปของแรงงานเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยได้อย่างสมบูรณ์ด้วยแรงงานจากประเทศอื่น ไทยพึ่งพาแรงงานจากกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามมาอย่างต่อเนื่อง การสูญเสียแรงงานจากหนึ่งในสี่ประเทศนี้จึงย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลลึก
แม้กระทรวงแรงงานของไทยจะคาดว่าจะสามารถนำเข้าแรงงานเพิ่มจากเนปาล ศรีลังกา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่เช เทชชี้ว่ามีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศหมู่เกาะ ขณะที่เนปาลและศรีลังกามีที่ตั้งห่างไกล ทำให้การนำเข้าแรงงานต้องเผชิญปัญหาด้านโลจิสติกส์และค่าใช้จ่ายสูง
นอกจากนี้ ค่าแรงของแรงงานจากประเทศเหล่านี้ยังสูงกว่าแรงงานกัมพูชา ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของนักลงทุนและผู้ประกอบการลดลง และยังมีอุปสรรคด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหาร และการปรับตัวร่วมกับแรงงานไทย แรงงานเหล่านี้ยังมักต้องใช้เงินจำนวนมากในการเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด ส่งผลให้มีเงินออมเหลือน้อยและลดความมั่นคงทางการเงินของตนเอง
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ การตัดสินใจของกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้จึงเป็นการแก้ปัญหาเชิงรุกที่ตอบสนองต่อทั้งปัจจัยด้านมนุษยธรรมและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาวิกฤติแรงงานที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แต่ยังเป็นการประคับประคองระบบแรงงานให้มีเสถียรภาพในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจยืดเยื้อนานกว่าที่ใครคาดคิด
ที่มา: Khmer Times