เจ. ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ต่อสินค้าจากจีน เพื่อตอบโต้การที่จีนยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
แวนซ์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ โดยถูกถามว่าทรัมป์จะดำเนินการกับจีนในลักษณะเดียวกับที่เพิ่งใช้ต่ออินเดียเมื่อสัปดาห์ก่อนหรือไม่ ซึ่งครั้งนั้นสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีลงโทษ 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย เนื่องจากอินเดียยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แม้จะได้รับคำเตือนซ้ำหลายครั้ง
“ท่านประธานาธิบดีกล่าวว่าเขากำลังพิจารณาอยู่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย” แวนซ์กล่าว พร้อมเสริมว่า “ประเด็นจีนมีความซับซ้อนกว่ามาก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลต่อหลายประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์รัสเซีย”
เขาระบุเพิ่มเติมว่า ประธานาธิบดีกำลังทบทวนทางเลือกต่าง ๆ และจะตัดสินใจเมื่อเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
ทั้งนี้ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อจีนโดยตรง แต่คำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียในอัตรา 25% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างอิงอำนาจพิเศษของประธานาธิบดีในสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมเปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีอำนาจกว้างในการติดตามและพิจารณามาตรการต่อประเทศใดก็ตามที่ “นำเข้าน้ำมันจากสหพันธรัฐรัสเซียโดยตรงหรือโดยอ้อม” รวมถึงสิทธิในการเสนอว่าควรใช้มาตรการเก็บภาษีในลักษณะเดียวกันหรือไม่
เมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน เจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลทรัมป์เพิ่งเสร็จสิ้นการเจรจาระดับสูงรอบที่สามกับคณะผู้แทนจากจีนในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยฝ่ายจีนเปิดเผยว่าทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีรอบใหม่ ซึ่งเดิมกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 12 สิงหาคม แม้สหรัฐฯ จะยังไม่ให้การยืนยันอย่างเป็นทางการก็ตาม
ในอีกด้าน การพบปะระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย มีกำหนดเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าทั้งสองผู้นำจะพยายามหาทางบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครน อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ชัดว่าทรัมป์จะพร้อมใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติมเพียงใดเพื่อจำกัดรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ซึ่งรัสเซียนำมาใช้เป็นทุนสนับสนุนการทำสงคราม
การบังคับใช้มาตรการภาษีถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการกดดันประเทศมหาอำนาจให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะยุติความขัดแย้งดังกล่าว “ภายในวันแรก” ที่เข้ารับตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากดำรงตำแหน่งมานานกว่าครึ่งปี ความพยายามเพิ่มแรงกดดันต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ยังไม่ปรากฏผลลัพธ์ที่ชัดเจน
แม้แวนซ์จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีน แต่เขายืนยันว่ามาตรการภาษีถือเป็น “เครื่องมือเจรจาที่มีประสิทธิภาพ”
“การขู่จะเก็บภาษีถือเป็นเครื่องมือเจรจาที่ทรงพลัง เพราะเมื่อคุณบอกกับประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงตลาดได้ หากไม่ยอมจ่ายภาษีสูงหรือไม่เปิดตลาดของตนเอง คุณจะพบว่ามีหลายกรณีที่ประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่สหภาพยุโรปไปจนถึงเอเชียและที่อื่น ๆ ยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ” แวนซ์กล่าว
จีนในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียรายใหญ่ที่สุด ถูกมองว่าเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจสำคัญของมอสโก ทำให้บางประเทศตะวันตกกล่าวหาว่าปักกิ่งมีบทบาทช่วยเหลือรัสเซียโดยอ้อมในการทำสงครามยูเครน ซึ่งยืดเยื้อมาจนเข้าสู่ปีที่สี่
ข้อมูลจากศุลกากรจีนระบุว่า ในปีที่ผ่านมา จีนได้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 108.5 ล้านตัน คิดเป็นเกือบ 20% ของปริมาณการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดของประเทศ
ด้านสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยยืนยันว่าการค้าระหว่างจีนกับรัสเซียดำเนินไปภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
หลิว เผิงยวี โฆษกสถานทูตจีน ระบุว่า “ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงจีน ดำเนินความร่วมมือปกติกับรัสเซียภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบธรรมและไม่สร้างความเสียหายต่อประเทศที่สาม”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า จีนคัดค้านอย่างหนักต่อการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการใช้อำนาจบังคับแบบ “แขนยาว” ของสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่า “สงครามภาษีไม่มีผู้ชนะ การบีบบังคับและการกดดันจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใด ๆ”