AWC ทุ่ม 1,200 ล้านบาท สร้างดินแดนไดโนเสาร์ ‘Jurassic World : The Experience’ เนรมิตพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ใจกลางกรุงฯ ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้ผู้มาเยือน
ใครจะไปคิดว่า ประเทศไทยจะสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับโลกได้จริง! โดยผู้เขียนได้มีโอกาสไป Jurassic World : The Experience ที่ตั้งอยู่ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น โดยจะเป็นการรีวิวจากประสบการณ์ส่วนตัวตลอดการผจญภัยกว่า 90 นาที
Jurassic World : The Experience คือ สถานที่ที่จะพาทุกคนเข้าไปอยู่ในโลกของไดโนเสาร์แบบอิมเมอร์ซีฟ หรือพูดง่ายๆก็คือสวนสนุกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์ ‘Jurassic World’ จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment นั่นเอง
บอกเลยว่าหากใครเป็นแฟนภาพยนต์ Jurassic World นี่คือสถานที่ที่คุณห้ามพลาด เพราะ AWC เนรมิตพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตรบนเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น พร้อมทุ่มเงินกว่า 1,200 ล้านบาทเพื่อมอบประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ ให้เหมือนว่าเราหลุดไปในโลกของไดโนเสาร์จริงๆ
โดยโปรเจกต์นี้เกิดจากความร่วมมือของ 3 พันธมิตรระดับโลกอย่าง
Jurassic World: The Experience เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11:00 น. ถึง 22:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 21:00 น.) ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 579 บาท สำหรับเด็กอายุ 3-10 ปี สำหรับผู้ใหญ่ หรือเด็กอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไป ราคา 769 บาท สามารถซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ทางเว็บไซต์
โดยจากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่ได้มีโอกาสไป Jurassic World : The Experience มาต้องบอกเลยว่าสนุกมาก และทำถึงมาก ทั้งแสง สี เสียง ความยิ่งใหญ่ของตัวไดโนเสาร์ที่มีการเดิน การวิ่ง หรือการคำราม เหมือนว่าเรากำลังไปผจญภัยในโลกนั้นจริงๆ
โดยแต่ละรอบในการเดินทาง จะมีนักเดินทางเพียงแค่ 30 คน เพื่อความสนุกตลอดการผจญภัย หนึ่งในความรู้สึกที่ยังคงประทับใจคือ ‘ทีมงาน’ ที่คอยบิ้วอารมณ์และความรู้สึกของผู้ร่วมออกเดินทาง เช่น ห้องนี้เป็นห้องของไดโนเสาร์ที่กินเนื้อ ทุกคนต้องฟังคำแนะนำจากทีมงานให้ดีเพราะตอนนี้มีไดโนเสาร์ 1 ตัวที่หลุดอยู่หากใครไม่ฟังอาจเกิดอันตรายได้
หรือแม้แต่การถ่ายรูปกับน้องไดโนเสาร์ตัวเล็กๆ ซึ่งจะมีทีมงานคอยอุ้มอยู่ตลอด (เราไม่สามารถอุ้มได้) โดยเราทำได้เพียงจับและสัมผัสน้อง ซึ่งระหว่างที่เราสัมผัสน้องจะลืมตาและหลับตา ความรู้สึกเหมือนน้องมีชีวิตจริงๆ และความเล่นใหญ่ของทีมงานคือมีการบิ้วผู้ออกเดินทางทุกคนโดยหากใครสัมผัสน้องต้องระวังเล็บที่อาจเกี่ยวน้องหรือหากใครใส่เเหวนแนะนำให้ถอดออกก่อนหรือใช้มืออีกข้างเพื่อป้องกันน้องได้รับบาดเจ็บ และความรู้สึกนี้เองนี่แหละที่ทำให้ผู้ออกเดินทางรู้สึกอินตามไปกับการผจญภัย ตลอด 10 ฐาน ได้แก่
นอกจากนี้ นักเดินทางยังสามารถปิดท้ายการผจญภัยที่ Jurassic World: The Experience Retail Store ร้านค้าธีมบังเกอร์นิรภัยที่ผู้เข้าชมจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกจากการผจญภัยกลับบ้านเป็นความทรงจำสุดพิเศษ ภายในร้านเต็มไปด้วยสินค้าและของสะสมที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ถ่ายทอดเรื่องราวและจิตวิญญาณของ Jurassic World ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นบทสรุปที่น่าประทับใจของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ในโลกแห่งจูราสสิคก่อนกลับบ้าน
ภายในโปรเจกต์นี้ ยังมี ห้องอาหาร Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant ที่เป็นครั้งแรกของโลก ที่รังสรรค์ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่การออกแบบตกแต่งภายในอย่างประณีต ไปจนถึงเมนูอาหารที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างประสบการณ์อย่างต่อเนื่องให้แก่นักเดินทางทุกคนต่อไปในโลกยุคดึกดำบรรพ์ โดยห้องอาหารแห่งนี้มีพื้นที่รวม 2,061 ตารางเมตร รองรับแขกทั้งโซนภายในและภายนอกได้กว่า 256 ที่นั่ง โดยมีนูแนะนำอย่างเช่น
สำหรับผู้ที่ต้องการลิ้มลองรสชาติภายในห้องอาหาร Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์
โดยคุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ได้เล่าว่า “AWC ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำแฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Jurassic World: The Experience มาสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง NEON และ Universal Destinations & Experiences พร้อมการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตรของเรา ที่ร่วมรวมพลังในการสร้างสรรค์ประสบการณ์เรียนรู้เพื่อความยั่งยืน ‘Better World Better Future’ ภายใน Hatch Dome และยังเปิดพื้นที่พิเศษ River Lawn สนามเด็กเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่พักผ่อนและกิจกรรมกลางแจ้งสำหรับครอบครัวและชุมชน โดยพื้นที่จัดแสดงทั้งหมดเมื่อรวม Jurassic World: The Experience ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางเมตร”
โครงการระดับแลนด์มาร์กนี้สะท้อนกลยุทธ์ของ AWC ในการพัฒนาจุดหมายปลายทางไลฟ์สไตล์ที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจและสามารถมาเยือนได้ตลอดทั้งปี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก โดยประสบการณ์พิเศษทั้งหมดนี้พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางมาสู่ประเทศไทยและช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้แบบอินเทอร์แอคทีฟที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ในการสำรวจโลกแห่งวิทยาศาสตร์ ความหลากหลายทางชีวภาพ และแนวคิดด้านความยั่งยืนผ่านประสบการณ์ที่สนุกและเปี่ยมด้วยความหมาย สอดคล้องกับพันธกิจของ AWC ในการ “Building Better Future For All” โดยไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังจุดประกายความตระหนักรู้ สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาวให้กับชุมชน และส่งต่อคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้คนและโลกของเรา