ขณะที่สถานการณ์ความรุนแรงและการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงยกระดับอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแรงกดดันที่ถาโถมต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งจากความเสียหายด้านการค้าชายแดนและความเสี่ยงที่ไทยอาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ ได้ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดการโจมตีและหันมาใช้แนวทางสันติวิธีผ่านการเจรจา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งไทยและกัมพูชาในภาพรวม
เมื่อเวลา 12.08 น. นายพิชัยได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งสามารถถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า:
“กัมพูชาควรใช้ความอดกลั้นและยุติการกระทำด้วยความรุนแรงในทันที เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการสู้รบโดยไม่ชักช้า และเปิดทางให้กระบวนการทางการทูตกลับมาดำเนินต่อ การเจรจาอย่างสันติคือเงื่อนไขสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญที่สุด คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนต้องได้รับการปกป้องอย่างถึงที่สุด การโจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
ข้าพเจ้าขอย้ำว่า การกระทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้กัมพูชาเสี่ยงต่อการถูกโดดเดี่ยวในเวทีระหว่างประเทศ และอาจบั่นทอนผลประโยชน์ของประเทศเองในระยะยาว ทั้งในแง่ความเชื่อมั่นจากนานาชาติและโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีที่ยังคงดำเนินอยู่ก่อให้เกิดคำถามอย่างจริงจังต่อความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบของผู้นำกัมพูชาในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่ากัมพูชาได้ให้คำมั่นต่อสันติภาพมาโดยตลอด แต่กลับไม่สามารถยึดมั่นในคำมั่นดังกล่าวได้ โดยเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นอีกในเช้าวันนี้
สันติภาพคือรากฐานของความมั่งคั่ง
การเคารพในชีวิตมนุษย์คือหลักการพื้นฐานของเสถียรภาพที่ยั่งยืน”
ทั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เปิดเผยว่าได้มีการสนทนากับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบและเข้าสู่กระบวนการเจรจา โดยทรัมป์ระบุชัดว่า สหรัฐฯ จะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกดดันอย่างชัดเจน
สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เนื่องจากไทยกำลังเผชิญภาระภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ สูงถึง 36% และหากไม่สามารถเจรจาลดอัตราภาษีดังกล่าวได้ทันเวลา จะส่งผลให้ไทยเสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ทั้งในด้านการส่งออกและการดึงดูดการลงทุนระยะยาว