Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
หนี้สหรัฐฯทะลุ1.2พันล้านล้านบาท! จ่อเพิ่มอีก100ล้านล้าน รัฐใกล้ถังแตก?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

หนี้สหรัฐฯทะลุ1.2พันล้านล้านบาท! จ่อเพิ่มอีก100ล้านล้าน รัฐใกล้ถังแตก?

6 ก.ค. 68
11:24 น.
แชร์

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จจากการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งเขาขนานนามด้วยตนเองว่า "Big Beautiful Bill" ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสความกังวลที่สั่งสมมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับขนาดและความยั่งยืนของการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งในระดับที่ทั้งโลกไม่อาจมองข้ามได้

แม้ว่าทรัมป์จะนำเสนอร่างกฎหมายนี้ในฐานะ “ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ” ของฝ่ายบริหาร แต่หลายฝ่ายกลับมองว่า นี่อาจเป็นชนวนใหม่ที่เร่งให้สหรัฐฯ เคลื่อนตัวเข้าสู่ภาวะวิกฤติการคลังในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไปแต่รุนแรงและยากจะแก้ไข

ร่างกฎหมายฉบับนี้คาดว่าจะเพิ่มภาระหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อย่างน้อย 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 100 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะถูกซ้อนทับเข้าไปในยอดหนี้สาธารณะที่สูงอยู่แล้วกว่า 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 พันล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงจนแทบเกินจินตนาการ

ความกังวลต่อเส้นทางทางการคลังของสหรัฐฯ ในอนาคต ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์หรือกลุ่มนักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น แม้แต่อดีตพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์อย่าง อีลอน มัสก์ ก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยระบุว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เป็น "สิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง" ที่อาจส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว

ตลาดโลกเริ่มตั้งคำถาม: โลกจะยังให้สหรัฐฯ กู้ต่อไปหรือไม่?

ภายใต้บริบทของหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สกอตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะไม่เพิ่มการขายพันธบัตรระยะยาวในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ กระทรวงการคลังเลือกที่จะเน้นออกตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills) ซึ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นแทน เพื่อลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง

แนวทางนี้มีผลทำให้อายุเฉลี่ยของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพึ่งพาการกู้ยืมระยะสั้นมากขึ้นและเผชิญกับความเสี่ยงด้านต้นทุนทางการเงินที่อาจผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น

ในขณะที่สหรัฐฯ เดินหน้าเพิ่มการกู้ยืมเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายในระดับสูง นักลงทุนและรัฐบาลต่างประเทศเริ่มตั้งคำถามว่า จะยังคงให้ความไว้วางใจและเต็มใจถือหนี้ของสหรัฐฯ ต่อไปได้อีกนานเพียงใด

งานศึกษาของ Martin Ademmer และ Jamie Rush ให้ข้อมูลที่น่าจับตาว่า นับตั้งแต่ปี 1970 นักลงทุนในตลาดพันธบัตรเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงที่โลกมีตัวเลือกพันธบัตรปลอดภัยจากประเทศอื่น ๆ ผลการศึกษาระบุว่า ในช่วงปี 2005-2023 อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 จุดเปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่าตลาดได้เริ่มคิดค่าความเสี่ยงที่สูงขึ้นสำหรับหนี้ของสหรัฐฯ แล้ว

หากแนวโน้มการขาดดุลของสหรัฐฯ ในทศวรรษหน้าดำเนินต่อไปในระดับสูง ค่าความเสี่ยงนี้อาจขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการกู้ยืมในอนาคตและต้นทุนทางการเงินของประเทศ

นอกจากนี้ สัญญาณความไม่เชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ ยังเริ่มชัดเจนขึ้นในตลาดเงิน เพราะนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประมาณ 10% เทียบกับเงินปอนด์ และ 15% เทียบกับเงินยูโร ทั้งที่โดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าในสหรัฐฯ ควรจะสนับสนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่สถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม ซึ่งสะท้อนถึงกระแสการลดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ที่อิงกับสหรัฐฯ

ในเวลาเดียวกัน นักลงทุนเริ่มเรียกร้อง อัตราผลตอบแทน (yield) ที่สูงขึ้นสำหรับพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดกำลังประเมินความเสี่ยงทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะยาวสูงขึ้น แม้ว่าต้นทุนการกู้ยืมเฉลี่ยของรัฐบาลจะยังไม่ปรับตัวสูงในภาพรวม แต่ โครงสร้างผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) กำลังบิดเบี้ยวในลักษณะที่ผิดปกติ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวขยายตัวอย่างผิดธรรมชาติ ซึ่งมักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณของความเสี่ยงที่กำลังก่อตัวในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

โดยสรุป ตลาดโลกกำลังส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องต่อเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้และระยะยาว ผ่านทั้งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และการเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งอาจสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในความเชื่อมั่นระดับโลกต่อสถานะทางการเงินของ "ลุงแซม" ในระยะข้างหน้า

บทเรียนจากกรีซ: วงจรที่ไม่ควรประมาท

วิกฤติหนี้ของกรีซหลังปี 2009 เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงวงจรอันตรายของความไม่สมดุลทางการคลัง เมื่อประเทศเริ่มประสบปัญหาขาดดุลในระดับสูง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะค่อย ๆ สั่นคลอน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะพุ่งสูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถกู้ยืมระยะยาวได้ในต้นทุนที่เหมาะสม และจำเป็นต้องหันไปพึ่งพาการออกตราสารหนี้ระยะสั้นในสัดส่วนที่สูงขึ้น

การเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ไปพึ่งพาหนี้ระยะสั้นมากขึ้น มักถูกตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณว่า รัฐบาลอาจมีปัญหาในการชำระหนี้ในระยะยาว วงจรนี้สามารถลุกลามอย่างรวดเร็วและนำไปสู่วิกฤติเต็มรูปแบบเช่นกรณีของกรีซ

แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่แตกต่างจากกรีซอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือครองสถานะ “ผู้ออกเงินสกุลหลักของโลก” ทำให้สหรัฐฯ สามารถลดค่าเงินดอลลาร์และปล่อยให้เงินเฟ้อช่วยลดภาระหนี้ในเชิงมูลค่าที่แท้จริงได้ สถานการณ์ในปัจจุบันก็กำลังสะท้อนถึง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระบบการคลังของสหรัฐฯ

หากอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป รัฐบาลสหรัฐฯ อาจถูกบีบให้ต้องออกหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมต้นทุนดอกเบี้ยในระยะสั้น แต่ขณะเดียวกัน การพึ่งพาหนี้ระยะสั้นในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐบาลเผชิญกับความเสี่ยงด้านความผันผวนของต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และทำให้เสถียรภาพทางการคลังในระยะยาวถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง

นี่คือวงจร "วิกฤติหนี้แบบช้าแต่รุนแรง" (Slow-Motion Debt Spiral) ที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเริ่มกังวลว่าสหรัฐฯ อาจกำลังเคลื่อนเข้าสู่เส้นทางนี้ แม้จะต่างจากกรณีกรีซในเชิงเครื่องมือที่มีอยู่ แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างกลับเริ่มมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

บทเรียนจากกรีซจึงไม่ควรถูกประเมินต่ำเกินไป เพราะแม้แต่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีเงินสกุลสำคัญระดับโลกอย่างสหรัฐฯ ก็อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนได้ หากไม่บริหารจัดการภาระหนี้อย่างรอบคอบ

หนี้ที่แท้จริงอาจรุนแรงกว่าที่คาด

สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 145% ภายในปี 2050 ภายใต้สมมติฐานที่ว่า มาตรการลดภาษีและการใช้จ่ายเพิ่มเติมจะสิ้นสุดลงตามกำหนด

อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การคลังของสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “มาตรการชั่วคราว” มักจะกลายเป็นมาตรการถาวรในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร่างกฎหมายล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งได้ขยายเวลามาตรการลดภาษีที่เคยถูกกำหนดให้สิ้นสุดไว้เดิมออกไปอีก ส่งสัญญาณว่าการสิ้นสุดของมาตรการเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้นจริงตามที่สมมติฐานของ CBO วางไว้

ในขณะที่ CBO ใช้กรอบสมมติฐานเชิงอนุรักษนิยม กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้จัดทำประมาณการที่สะท้อนสถานการณ์ในเชิงความจริงมากกว่า โดยรายงานการเงินประจำปีของกระทรวงฯ คาดว่า หนี้ต่อ GDP ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มพุ่งสูงเกิน 200% ภายในปี 2050 และอาจทะยานสู่ระดับ 535% ภายในปี 2100 หากรัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายการคลังในทิศทางปัจจุบันต่อไปโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ผู้สนับสนุนมาตรการลดภาษีจะโต้แย้งว่านโยบายดังกล่าวจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและช่วยขยายฐานภาษีในระยะยาว แต่ CBO ประเมินว่า ผลกระทบต่อ GDP ที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.5% ในช่วง 10 ปี หรือประมาณ 0.04% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สถาบัน Tax Foundation ประเมินในเชิงบวกมากกว่า แต่ก็ยังคาดว่าร่างกฎหมายของวุฒิสภาจะช่วยเพิ่ม GDP ในระยะยาวเพียง 1.2% เท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบทางการคลังในภาพรวม

ข้อเท็จจริงเหล่านี้สะท้อนถึง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างในเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ที่อาจรุนแรงกว่าที่การคาดการณ์อย่างเป็นทางการในปัจจุบันได้สะท้อนออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแนวโน้มการใช้จ่ายและการลดภาษียังคงดำเนินไปในทิศทางเดิมโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เป็นรูปธรรม

ทางเลือกของสหรัฐฯ: ทุกทางล้วนยาก

เรย์ ดาลิโอ ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates หนึ่งในนักลงทุนระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ได้เตือนว่าสหรัฐฯ อาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในอนาคต เพื่อชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย หากไม่เร่งปรับเปลี่ยนนโยบายการคลังโดยเร็ว

ดาลิโอเสนอว่าทางออกที่ยั่งยืนคือ สหรัฐฯ ควรลดระดับ การขาดดุลจากปัจจุบันที่ประมาณ 6% ของ GDP ลงมาเหลือ 3% แต่ในทางปฏิบัติ ทิศทางการเมืองกลับสวนทางกับข้อเสนอดังกล่าว ร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้จะมีการปรับลดบางรายการใช้จ่าย แต่ก็ให้ความสำคัญกับ การลดภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่า ส่งผลให้ความเสี่ยงทางการคลังอาจยิ่งเพิ่มขึ้นในอนาคต

เมื่อพิจารณาทางเลือกที่สหรัฐฯ มีอยู่ในเวลานี้ พบว่า ทุกเส้นทางต่างก็เป็น "ทางเลือกที่ยาก" ทั้งสิ้น

1. การรัดเข็มขัด (Austerity)

รัฐบาลสามารถเพิ่มภาษีและลดการใช้จ่ายภาครัฐอย่างเข้มงวดในระดับที่สามารถลดภาระหนี้และควบคุมการขาดดุลได้จริง แต่แนวทางนี้ขัดแย้งกับบริบททางการเมืองในปัจจุบันที่ทั้งสองพรรคต่างให้ความสำคัญกับการลดภาษีและการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับการรัดเข็มขัดในระดับที่จำเป็น

2. การพิมพ์เงิน (Quantitative Easing - QE)

ทางเลือกที่สอง ซึ่งเคยใช้ในวิกฤตการเงินปี 2008 คือให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ พิมพ์เงินเพิ่มและนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่แนวทางนี้มักกระตุ้นเงินเฟ้อและเพิ่มความเหลื่อมล้ำ เพราะเจ้าของสินทรัพย์ เช่น หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ มักได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ที่พึ่งพารายได้จากการทำงาน

3. การผิดนัดชำระหนี้ (Default)

แม้จะเป็นทางเลือกสุดโต่งและมีโอกาสเกิดขึ้นต่ำในกรณีของสหรัฐฯ แต่หากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบการเงินโลกทันที เพราะ "เครดิตเต็มรูปแบบของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ" คือรากฐานสำคัญของระบบการเงินโลกทั้งระบบ หากสหรัฐฯ ผิดชำระหนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำลายความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ 

บทสรุป: ไม่มีสถานะใดถาวร

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นประเทศที่สร้างสรรค์และสร้างความมั่งคั่งได้มากที่สุดในโลก และแม้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของสหรัฐฯ จะสูงกว่าหลายประเทศ แต่ก็ยังต่ำกว่าญี่ปุ่นและอิตาลีในปัจจุบัน ทว่าทิศทางที่สหรัฐฯ กำลังเลือกเดิน ไม่ว่าจะเป็นการยอมขาดดุลต่อเนื่อง การคงดอกเบี้ยในระดับสูง และการพึ่งพาการกู้ยืมระยะสั้น กำลังเพิ่มความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเงียบ ๆ

ในปี 1968 วิลเลียม เอฟ. ริกเคนแบคเกอร์ เคยเขียนหนังสือ Death of the Dollar เตือนถึงความเสี่ยงต่อสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก แม้ผู้เขียนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ดอลลาร์ยังคงแข็งแกร่งมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลกไม่ใช่สิ่งที่ถาวรโดยธรรมชาติ หากไร้การบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง เส้นทางที่สหรัฐฯ กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน อาจเป็นการวางรากฐานของบทใหม่ที่ท้าทายต่อสถานะดอลลาร์ในอนาคต


แชร์
หนี้สหรัฐฯทะลุ1.2พันล้านล้านบาท! จ่อเพิ่มอีก100ล้านล้าน รัฐใกล้ถังแตก?