ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ท่ามกลางกระบวนการวินิจฉัยข้อกล่าวหาที่อาจใช้เวลาหลายเดือน
InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ประเมินว่า วิกฤตการเมืองครั้งนี้อาจสร้างแรงกดดันต่อ GDP ไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลกระทบขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางการเมืองในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า หากสถานการณ์คลี่คลายช้า หรือเกิดภาวะยุบสภาก่อนการอนุมัติงบประมาณปี 2569 เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงยิ่งขึ้น
บทวิเคราะห์ของ InnovestX ชี้ว่า ความล่าช้าในการบริหารราชการและความไม่ต่อเนื่องในการจัดทำงบประมาณอาจทำให้ GDP ปี 2568 ลดลงในช่วง 0.3-0.5 จุด โดยระดับความเสียหายจะพิจารณาตามเส้นทางและจังหวะของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในระยะสั้นถึงกลางปีหน้า
เมื่อวานนี้ (1 ก.ค. 68) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ระหว่างการพิจารณาคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยศาลให้เวลาแพทองธารยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน
ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากหน้าที่ชั่วคราว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมนำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียบร้อยแล้ว
กรณีนี้ได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิด โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น กรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ศาลใช้เวลาพิจารณาประมาณ 84 วัน และกรณีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ใช้เวลาหยุดปฏิบัติหน้าที่ 38 วัน ขณะที่ InnovestX ประเมินว่า ศาลอาจใช้เวลาวินิจฉัยกรณีของแพทองธารประมาณ 1-3 เดือน
หากศาลวินิจฉัยว่ามีความผิด ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธารจะสิ้นสุดเฉพาะตัวบุคคล แต่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันจะยังคงปฏิบัติหน้าที่รักษาการต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีรักษาการจะมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ จนกว่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ
InnovestX ประเมินว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นจะผูกกับพัฒนาการทางการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยกรอบเวลาการจัดทำและอนุมัติงบประมาณปี 2569 เป็นจุดตัดสำคัญ
กรณีฐาน: หากรัฐบาลสามารถปรับคณะรัฐมนตรีและยุบสภาหลังจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านเรียบร้อย ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับจำกัด GDP ปี 2568 อาจลดลง ราว 0.3 จุด เหลือ 1.1% จากเดิมที่คาด 1.4% เนื่องจากความล่าช้าในการขับเคลื่อนนโยบายและกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่
กรณีเลวร้าย: หากมีการยุบสภาก่อนที่ร่างงบประมาณจะผ่านการอนุมัติ อาจทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ไม่สามารถประกาศใช้ได้ทันภายใน 30 กันยายน 2568 ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐหยุดชะงัก รัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติงบใหม่ได้ นำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง InnovestX ประเมินว่า GDP อาจลดลงสูงสุด 0.5 จุด เหลือเพียง 0.9%
จากบทวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะเป็นจุดตัดสำคัญที่กำหนดเสถียรภาพของรัฐบาล และส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งหากเกิดความล่าช้าหรือสะดุด อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อการลงทุนภาครัฐและภาพรวมการเติบโตของ GDP อย่างมีนัยสำคัญ
ต่อไปนี้คือไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
1 ก.ค. 2568: ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว พร้อมกำหนดให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
3 ก.ค. 2568: นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นำคณะรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ
ส.ค.-ก.ย. 2568: คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาวินิจฉัยประมาณ 1-3 เดือน โดยอ้างอิงจากกรณีศึกษาในอดีต เช่น คดีของนายเศรษฐา ทวีสิน (ใช้เวลา 84 วัน) และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ใช้เวลา 38 วัน)
1 ต.ค. 2568: วันเริ่มต้นปีงบประมาณ 2569 หากงบประมาณยังไม่ผ่านภายในเส้นตาย จะส่งผลกระทบทันทีต่อการใช้จ่ายภาครัฐ เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจและชะลอโครงการลงทุนใหม่ของภาครัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เส้นทางของการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อโครงสร้างรัฐบาล แต่ยังอาจเป็นตัวกำหนดความสามารถของเศรษฐกิจไทยในการเดินหน้าต่อในช่วงปี 2568-2569 อย่างแท้จริง