ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรมีความเชื่อถือกันในหลายแง่มุม และแง่มุมหนึ่งที่สำคัญสำหรับประเทศญี่ปุ่นมากคือ ความมั่นคง
ตั้งแต่ปี 1967 เป็นต้นมา หรือตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ญี่ปุ่น ฝ่ายผู้ซึ่งแพ้สงคราม ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ เข้าครอบงำนาน 7 ปี และจำกัดขอบเขตการใช้กำลังตั้งแต่นั้นมา ญี่ปุ่นถูกสั่งห้ามใช้กำลังทหารเข้าตัดสินข้อพิพาท และห้ามเข้าสงคราม แต่สหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่คอยดูแลให้
ผลจากข้อตกลงดังกล่าว กองกำลังต่าง ๆ ที่มีมาก่อนหน้าจึงหายไป มีการจัดสรรงบประมาณด้านการทหารน้อย ทำให้มีงบประมาณพัฒนาประเทศในด้านอื่นมาก ญี่ปุ่นมีทหารของตนอยู่ แต่มีเพียงกองกำลังป้องกันตนเอง หรือที่เรียกกันว่า Jietai (จิเอไต) ที่มีหน้าที่ช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัยเป็นส่วนใหญ่
ทั้งสองชาติมีการร่วมมือกันด้านความมั่นคง เช่น การฝึกอบรม งานข่าวกรอง การลาดตระเวนร่วม และญี่ปุ่นสนับสนุนการตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ส่งเสริมการใช้ยุทโธปกรณ์ร่วมกัน ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็พยายามลดผลกระทบของฐานทัพต่อคนท้องถิ่น
สหรัฐฯ จะส่งกองกำลังทหารประจำการที่จังหวัดโอกินาวาเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีที่ตั้งใกล้กับไต้หวัน ซึ่งจีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดน และอาจก่อให้เกิดความตึงเครียดได้
แต่การฝากความมั่นคงไว้ในมือคนอื่นอาจไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนนัก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ กำลังอยู่ใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ หนึ่งในนั้นอาจเป็นการลดระดับการให้สนับสนุนด้านความมั่นคงกับญี่ปุ่น
ผู้ออกนโยบาย และเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ราว 10 คน เริ่มแสดงความสนใจในการยุติหลักการ 3 ไม่ (ไม่ครอบครอง ไม่ผลิต และไม่นำเข้านิวเคลียร์)
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำเนียบขาวได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่นเพิ่มสัดส่วนการจ่ายเงินให้กองกำลังสหรัฐฯ ในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น และมีรายงานเมื่อเดือนมีนาคมว่า ทรัมป์อาจยกเลิกแผนการขยายกำลังกองทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น เนื่องจากจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่อปี 2019 ระหว่างเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์เคยขอให้ญี่ปุ่นเพิ่มสัดส่วนการจ่ายเงินเป็น 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาก่อน ด้านคำขอเมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณาเพิ่มงบประมาณสนับสนุนอีกหลายหมื่นล้านเยน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Tokyo Shimbun
“คุณจะถือเอาบทบาทของสหรัฐฯ เป็นของตายไม่ได้หรอก” รุอิ มัตสึกะวะ อดีตรองรัฐมนตรีกลาโหมและสมาชิกพรรครัฐบาล พรรค Liberal Democratic Party กล่าวกับสำนักข่าว Reuters เธอมีความกังขาเรื่องบทบาทด้านความมั่นคงที่สหรัฐฯ สนับสนุนญี่ปุ่น
มัตสึกะวะชี้ว่า ท่าทีของสหรัฐฯ แสดงตำหนิพันธมิตรอย่างยุโรปอย่างเปิดเผย และดูจะโน้มเอียงไปทางรัสเซียมากขึ้น และยุโรปก็กำลังตื่นตัวกับความจริงข้อนั้น และตระหนักว่าไม่สามารถพึ่งพิงสหรัฐฯ ด้านความมั่นคงมากอย่างเคยได้อีกต่อไป กรณีเดียวกันกำลังเกิดขึ้นกับญี่ปุ่น
เธอในฐานะผู้แทนระดับสูงของสมาชิกสภาญี่ปุ่น ขณะนี้ต้องขบคิดสิ่งที่ประเทศที่เคยทรมานจากผลระเบิดนิวเคลียร์ และอยู่ล้อมรอบเหล่าประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่าง จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย ยากที่จะจินตนาการถึง นั่นคือ ญี่ปุ่นอาจต้องพึ่งพาอาวุธเหล่านั้นเหมือนกัน
“ทรัมป์เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีนั่นอาจเป็นจุดเด่นของเขา แต่ฉันคิดว่าเราต้องคิดถึงแผนสำรองเอาไว้เสมอ” มัตสึกะวะกล่าว “แผนสำรองอาจเป็นการพึ่งพาตัวเองก่อน และตามมาด้วยนิวเคลียร์” เธอกล่าว แต่ก็ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตร
ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศเดียวในเอเชียที่เริ่มพิจารณาความจำเป็นข้อนี้ แต่เกาหลีใต้ก็เช่นกัน Reuters ระบุว่า การสำรวจชิ้นหนึ่งบ่งชี้ว่า กว่า 75% ของประชาชนชาวเกาหลีใต้ในการสำรวจเห็นด้วยกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าการชนะเลือกตั้งของประธานาธิบดีจากพรรคฝ่ายซ้าย อี แจ-มยอง จะลดการพูดถึงความจำเป็นข้อนี้ไปบ้าง แต่สมาชิกร่วมพรรคของเขาก็ยังกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวอยู่บ้าง
ประชาชนญี่ปุ่นเองก็ให้ความเห็นผ่านแบบสำรวจว่า ญี่ปุ่นอาจต้องทบทวนความพร้อมด้านจุดยืนนิวเคลียร์ ทัตสึอะกิ ทากาฮาชิ หลานชายของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาเมื่อ 80 ปีก่อน กล่าวว่า มุมมองของสาธารณชนญี่ปุ่นต่อการใช้ระเบิดนิวเคลียร์เปลี่ยนไป เพราะโศกนาฏกรรมในอดีตถูกเวลาพาไปห่างจากชีวิตของพวกเขามากขึ้น
“ผมคิดว่าการอนุญาตให้อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เข้ามาในญี่ปุ่นอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะรูปแบบหนึ่งของเครื่องมือยับยั้ง” ทากาฮาชิกล่าว
ทัศนคติของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่อพันธมิตรใหญ่ที่เปลี่ยนไป มาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อประเทศมหาอำนาจในโลกตะวันตกแห่งนี้ว่าจะรับผิดชอบต่อความมั่นคงของสองชาติตามที่สัญญาไว้แค่ไหน
ท่าทีของสหรัฐฯ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในขณะนี้คือ ปัจจัยที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ สูญเสียความเชื่อมั่น อาทิ ท่าทีของทรัมป์ต่อการสนับสนุน NATO ความคิดการผนวกแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ และการเพิ่มภาษีศุลกากรต่อญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
Reuters กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ยืนยันว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายต่อเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นยังถือความมุ่งมั่นสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีของสหรัฐฯ “ไม่เปลี่ยนแปลง” สอดคล้องไปกับกระทรวงกลาโหมที่กล่าวว่า ญี่ปุ่น “เชื่อมั่นในสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ว่าจะปฏิบัติตามพันธกรณีของตนโดยใช้ศักยภาพทุกประเภท รวมถึงการใช้นิวเคลียร์”
ด้านกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่า ความสัมพันธ์นานหลายศตวรรษระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ยังคงเป็น “พื้นฐานการทูตและมีบทบาทเป็นกุญแจสำคัญในการธำรงสันติภาพและความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลี”