Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จีนยื้อบริษัทขาดทุนเพื่อรักษางาน ปี67 พบบริษัท 22% ในภาคอุตฯ ไม่มีกำไร
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

จีนยื้อบริษัทขาดทุนเพื่อรักษางาน ปี67 พบบริษัท 22% ในภาคอุตฯ ไม่มีกำไร

13 มิ.ย. 68
15:26 น.
แชร์

จีนเผชิญแรงกดดันซ้อน: อุตสาหกรรมขาดทุน-ธุรกิจซอมบี้-รัฐไม่กล้าปล่อยล้มหวั่นประท้วง

ภาคการผลิตของจีนกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความต้องการในประเทศที่ลดลง และผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าในเวทีระหว่างประเทศ สถานการณ์นี้ส่งผลให้บริษัทอุตสาหกรรมจำนวนมากประสบภาวะขาดทุน แต่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นยังคงพยายามยื้อไม่ให้ธุรกิจเหล่านี้ล้มละลาย หวั่นกระทบต่อการจ้างงานและนำไปสู่ความไม่สงบทางสังคม

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า ณ สิ้นปี 2024 บริษัทอุตสาหกรรมที่ประสบภาวะขาดทุนมีสัดส่วนสูงถึง 22.8% ของทั้งระบบ เพิ่มขึ้นจาก 21.6% ในปี 2023 และมากกว่าสองเท่าของระดับ 9.8% ในปี 2011 ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี

เมื่อพิจารณารายภูมิภาค มณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดได้แก่ กุ้ยโจว (39.9%) หนิงเซี่ย (39%) ซานซี (38.8%) ซินเจียง (36.8%) เฮย์หลงเจียง (36.6%) กานซู่ (36.1%) และจี๋หลิน (35.4%) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ

กำไรสุทธิของบริษัทผู้ผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 อยู่ที่เฉลี่ย 3.7% สำหรับอุตสาหกรรมโดยรวม ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์มีกำไรเฉลี่ย 4.2% ลดลงจาก 4.6% และ 4.3% ในช่วงปลายปี 2024 สะท้อนแรงกดดันจากต้นทุนภายในประเทศและการแข่งขันรุนแรงในตลาดโลก

แม้บริษัทจำนวนมากจะขาดทุนจนแทบไม่มีอนาคต แต่ภาครัฐยังคงยื้อสถานะเพื่อรักษางาน ลดความเสี่ยงจากการประท้วง และรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ จนทำให้จีนเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างชัดเจน

จีนเลือกพยุงไม่ปล่อย: เมื่อการล้มละลายอาจกระทบเสถียรภาพทางสังคม

ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเผชิญแรงกดดันจากภาวะชะลอตัวทั่วทั้งระบบ รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นยังคงยึดแนวทางเดิม นั่นคือการพยุงธุรกิจที่ขาดทุนให้ดำเนินต่อ ไม่ว่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะเบื้องหลังการไม่ยอมปล่อยให้ “บริษัทไร้อนาคต” ต้องปิดตัวลง ล้วนเป็นความกังวลทางการเมืองที่ฝังลึกอยู่ในระบบ ว่าการว่างงานจะกระทบความสงบภายในพื้นที่

ความกังวลนี้ในปัจจุบันปรากฏให้เห็นชัดเจนผ่านกรณีของโรงกลั่นสุราเก่าแก่แห่งหนึ่งในมณฑลส่านซี ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 69 ปี แม้จะไม่สามารถทำกำไรได้เลยนับตั้งแต่ปี 2020 โรงงานแห่งนี้ยังคงดำเนินงานต่อโดยใช้แรงงานคนติดฉลากสุราท้องถิ่น “ไป่จิ่ว” ด้วยมือ มีพนักงานมากกว่า 300 คน บางส่วนอยู่ในโครงการบรรเทาความยากจนของภาครัฐ

“หากเราปิดกิจการ คนงานจะไม่มีรายได้ และจะไม่สามารถรับบำนาญ” เหม่ยเหยียน เซียว วัย 35 ปี ลูกสาวของประธานบริษัทซึ่งมีบทบาทในการทำตลาด กล่าว “การปิดโรงงานจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชุมชนทันที”

ในบริบทนี้ เหตุผลเบื้องหลังการไม่ปล่อยให้บริษัทที่ขาดทุนล้มละลายง่าย ๆ จึงไม่ได้มีรากฐานจากเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเสถียรภาพทางสังคม ้เพราะในจีน “การจ้างงาน” มีน้ำหนักทางการเมืองมากกว่าตัวเลข GDP หรือประสิทธิภาพการผลิต เพราะการว่างงานจำนวนมากในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง อาจกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวประท้วง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการจีนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

นีล โธมัส นักวิจัยจาก Asia Society Policy Institute อธิบายว่า “การจ้างงานเป็นประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ” เนื่องจาก “คนว่างงานมักถูกมองว่าเป็นผู้ที่พร้อมจะลุกขึ้นประท้วง เพราะไม่มีอะไรจะเสีย”

ข้อมูลจาก Freedom House ชี้ว่า ตั้งแต่กลางปี 2024 เป็นต้นมา การประท้วงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในเดือนมกราคม 2025 มีรายงานเหตุประท้วงมากถึง 434 ครั้งทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี

นอกจากนี้ ในระบบที่ความสงบของสังคมมีความสำคัญสูง การเปิดกระบวนการล้มละลายไม่ใช่เรื่องง่าย อู๋ เจี้ยน หุ้นส่วนอาวุโสจาก Zhonglun W&D Law Firm ในปักกิ่ง อธิบายว่า ทันทีที่คดีเข้าสู่ระบบ ผู้พิพากษาจะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสังคม หากมีการประท้วงหรือร้องเรียนตามมา พวกเขาอาจถูกลงโทษทางวินัย

เอกสารภายในศาลที่เผยแพร่เมื่อปี 2021 ระบุว่า หากคดีล้มละลายมีความอ่อนไหว เจ้าหน้าที่ศาลอาจถูกสั่งให้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับผู้ร้องเรียนถึงบ้าน หากล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดหรือการประชุมใหญ่ของพรรค อาจถูกลดตำแหน่งทันที

หลุยส์ คุยส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียแปซิฟิกของ S&P Global Ratings เตือนว่า “การยื้อบริษัทที่ไม่มีศักยภาพ ไม่เพียงบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากร แต่ยังเป็นภาระกับบริษัทที่เข้มแข็งกว่าในระบบ” อีกทั้งยังลดทอนแรงจูงใจในการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมโดยรวม

รัฐบาลกลางพยายามสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเผชิญวิกฤตหนี้สูงกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้จำนวนคดีล้มละลายทั่วประเทศพุ่งขึ้น 3 เท่าจากปี 2020 โดยในปี 2024 มีบริษัทที่เข้าสู่กระบวนการล้มละลายถึง 30,000 แห่ง เทียบกับ 10,000 แห่งในปี 2020

จีนยังได้จัดตั้ง “ศาลล้มละลายเฉพาะทาง” เพื่อจำกัดอิทธิพลจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น แต่จนถึงปัจจุบันมีเพียงราว 100 แห่ง จากจำนวนศาลทั้งหมดกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งยังห่างไกลจากการทำให้ระบบล้มละลายมีประสิทธิภาพในระดับชาติ

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้รัฐบาลจีนต้องเดินอยู่บนเส้นบางระหว่างสองเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน คือการลดกำลังการผลิตส่วนเกินเพื่อลดแรงกดดันจากเงินฝืดและแรงเสียดทานทางการค้ากับโลกตะวันตก กับอีกด้านคือการหลีกเลี่ยงการว่างงานจำนวนมากที่จะนำไปสู่ปัญหาทางสังคม

โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งภาคอุตสาหกรรมเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น การปล่อยให้โรงงานล้มละลายอาจไม่ได้หมายถึงแค่การปิดกิจการ แต่คือการสั่นคลอนเสถียรภาพของทั้งเมือง หรือทั้งมณฑลในบางกรณี

ในบริบทนี้ คำถามใหญ่ที่ยังไร้คำตอบคือ จีนจะสามารถปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ยืดหยุ่นและมีวินัยทางตลาดได้จริงหรือไม่ โดยไม่ต้องแลกมาด้วยความปั่นป่วนทางสังคมที่รัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

การผลิตที่สิ้นเปลือง: บาดแผลเรื้อรังของเศรษฐกิจจีน

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จีนต้องต่อสู้กับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกในระบบอุตสาหกรรม นั่นคือการผลิตส่วนเกินที่ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่ขัดขวางการยกระดับคุณภาพของเศรษฐกิจ แม้จะมีความพยายามปฏิรูปหลายระลอกจากภาครัฐ

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 นายกรัฐมนตรีจู หรงจี ได้เริ่มต้นการปฏิรูปครั้งสำคัญ ด้วยการลดบทบาทรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการแบบขาดทุนโดยอาศัยเงินอุดหนุนและสินเชื่อราคาถูก การปรับลดขนาดภาครัฐครั้งนั้นเกิดขึ้นควบคู่กับนโยบายเปิดเสรีเศรษฐกิจ ซึ่งนำมาสู่การหลั่งไหลของเงินลงทุนต่างชาติและการเติบโตในอัตราเลขสองหลักติดต่อกันเป็นเวลานาน แม้จะต้องแลกด้วยการเลิกจ้างพนักงานหลายล้านคน

เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลได้นำแนวทางปฏิรูปกลับมาใช้อีกครั้ง โดยมุ่งควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาทุ่มตลาดจากประเทศคู่ค้า แต่ปัจจุบันบริบทเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาในปัจจุบันกลับเป็นของภาคเอกชนที่รัฐไม่สามารถแทรกแซงหรือบังคับถอยออกจากตลาดได้โดยตรง อีกทั้งภาวะการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ก็ทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเหนือกว่าประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ

ในเดือนมีนาคม ก่อนที่สงครามการค้ากับสหรัฐฯ จะปะทุ ผู้นำจีนประกาศชัดว่าจะจัดการกับ “การแข่งขันแบบอินโวลูชัน” ซึ่งหมายถึงการแข่งขันที่รุนแรงเกินพอดีในภาคธุรกิจ ส่งผลให้ทั้งองค์กรและพนักงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่ลดลงเรื่อย ๆ

แต่อุปสรรคเชิงระบบยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะโครงสร้างแรงจูงใจของข้าราชการท้องถิ่น ที่ยังคงวัดผลงานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการดึงดูดการลงทุน พวกเขายังได้ประโยชน์จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากภาคการผลิตในพื้นที่

เพื่อลดแรงจูงใจผิดรูปเหล่านี้ รัฐบาลกลางจึงได้ออกกฎห้ามรัฐบาลท้องถิ่นให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือเงินอุดหนุนโดยพลการหากไม่ได้รับการอนุมัติ อีกทั้งเรียกร้องให้ธนาคารยุติการสนับสนุน “บริษัทซอมบี้” ที่ยังอยู่ได้ด้วยเงินอุดหนุนและสินเชื่อที่ไม่สร้างผลิตภาพจริง แม้จะไม่มีข้อมูลทางการที่แน่ชัด แต่บริษัทที่ปรึกษา Kearney ประเมินว่า ในปี 2023 จำนวนบริษัทซอมบี้ในจีนเพิ่มขึ้นถึง 27% คิดเป็น 3.4% ของบริษัททั้งหมด

ซานซี: ภาพสะท้อนของการผลิตที่ยังไร้ทิศทาง

มณฑลซานซี ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมถ่านหินในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน กลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเศรษฐกิจที่กำลังดิ้นรนปรับตัวท่ามกลางปัญหากำลังการผลิตล้นเกิน ปัจจุบันเหมืองร้างกระจายอยู่ทั่วไป และในปีที่ผ่านมา บริษัทอุตสาหกรรมในซานซีถึงเกือบ 40% ประสบภาวะขาดทุน สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศเกือบสองเท่า

เมื่อลดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลท้องถิ่นของซานซีจึงหันมาผลักดัน “สามอุตสาหกรรมใหม่” ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

บริษัท Dayun Automobile Co. เป็นตัวอย่างของความพยายามในเส้นทางใหม่นี้ ในอดีต Dayun เคยเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของเมืองหยุนเฉิง ด้วยสายการผลิตรถบรรทุกที่ทำกำไรสูง แต่หลังจากยอดขายพุ่งถึงจุดสูงสุดในปี 2017 บริษัทหันเข้าสู่ตลาด EV และพยายามสร้างแบรนด์รถซีดานหรู ภายใต้ฉายา “เบนท์ลีย์แห่งจีน” ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ

จ้าว ซินเจิ้ง อดีตพนักงานขายของ Dayun กล่าวว่า “นี่คือความน่าเศร้าของเศรษฐกิจจีน เพราะเมื่อใดที่มีธุรกิจที่ดูน่าสนใจ ก็จะมีคนหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันจนทำให้กำไรหายไปหมด”

เขายังเสริมว่า ซานซีไม่ใช่พื้นที่เหมาะสมสำหรับการผลิต เนื่องจากต้นทุนโลจิสติกส์สูง ห่วงโซ่อุปทานยังไม่แข็งแรง จุดแข็งเพียงอย่างเดียวคือการได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐ เช่น สิทธิพิเศษทางภาษี และการยกเว้นค่าทางด่วนสำหรับรถของ Dayun

จากหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นของบริษัทเมื่อปี 2020 พบว่า หนึ่งในสามของยอดขายรถบรรทุกในช่วงสามปีก่อนหน้า มาจากการซื้อโดยบริษัทที่รัฐบาลหยุนเฉิงถือครองโดยตรง และมากกว่า 10% ของกำไรในช่วงนั้นมาจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในฐานะ “บริษัทเทคโนโลยี” ส่วนเงินอุดหนุนจากการขายรถ EV คิดเป็นถึงหนึ่งในห้าของกำไรในช่วงปี 2017-2018

แต่แม้จะได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนกลับมีการแข่งขันสูงเกินไป โดยปัจจุบันมีผู้เล่นมากกว่า 140 ราย และบริษัทที่ปรึกษา Alixpartners คาดการณ์ว่า มีไม่ถึง 20 รายที่จะสามารถทำกำไรได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้

ในเดือนพฤศจิกายน Dayun ได้เริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างทางการเงินหลังถูกฟ้องร้องจากซัพพลายเออร์เกี่ยวกับปัญหาหนี้สิน แม้จะมีการปลดพนักงานเกือบครึ่ง แต่สายการผลิตรถบรรทุกยังคงเดินหน้าต่อไป

ทางออกเชิงระบบ: โควตาและกลไกการคัดกรอง

หลี่ เต๋อขุย นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิงหัว และที่ปรึกษานโยบายประจำรัฐบาลกลาง เสนอแนวทางเชิงระบบ โดยแนะให้รัฐกำหนด “โควต้าการผลิต” ในอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาอุปทานล้นตลาด เพื่อเปิดช่องให้บริษัทถอนตัวโดยสมัครใจ โดยสามารถขายโควต้าให้กับคู่แข่งที่ยังมีความสามารถแข่งขัน

แนวทางนี้อาจเป็นกลไกถ่ายโอนทรัพยากรอย่างเป็นระบบ ลดแรงกระแทกจากการล้มละลายแบบเฉียบพลัน และส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรไปยังผู้ประกอบการที่มีศักยภาพแท้จริง

แชร์
จีนยื้อบริษัทขาดทุนเพื่อรักษางาน ปี67 พบบริษัท 22% ในภาคอุตฯ ไม่มีกำไร