Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปี 67 โลกทุ่มกว่า 3.2 ล้านล้านบาทสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ‘สหรัฐฯ’ยืนหนึ่ง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ปี 67 โลกทุ่มกว่า 3.2 ล้านล้านบาทสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ‘สหรัฐฯ’ยืนหนึ่ง

13 มิ.ย. 68
12:41 น.
แชร์

ในปี 2024 ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง และความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อ โลกกลับเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธนิวเคลียร์จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

รายงานล่าสุดจากองค์กรรณรงค์เพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ (International Campaign to Abolish Nuclear Weapons: ICAN) ระบุว่า 9 ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล และเกาหลีเหนือ ใช้งบประมาณรวมกันถึง 100.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีเดียว เพิ่มขึ้นเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 11% จากปี 2023

ข้อมูลองค์รวมยังแสดงให้เห็นว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายด้านอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 32% จาก 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2019 เป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2024

สหรัฐฯ นำโด่งในการใช้จ่ายด้านอาวุธนิวเคลียร์

ในปี 2024 สหรัฐอเมริกา ยังคงครองตำแหน่งประเทศที่ใช้จ่ายด้านอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณรวมสูงถึง 5.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.3 พันล้านดอลลาร์ จากปี 2023 และมากกว่าการใช้จ่ายรวมของประเทศผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อีก 8 ประเทศรวมกัน

จีน ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยงบประมาณ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ สหราชอาณาจักร อยู่ในอันดับสาม ใช้งบประมาณ 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.2 พันล้านดอลลาร์

จากข้อมูลของ ICAN ประเทศที่มีการใช้จ่ายสูงที่สุดในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ 

  • สหรัฐอเมริกา ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 5.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จีน  ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • สหราชอาณาจักร ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • รัสเซีย ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  • อินเดีย ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • อิสราเอล ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปากีสถาน ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เกาหลีเหนือ ด้วยงบประมาณลงทุนในอาวุธนิวเคลียร์ 0.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ค่าใช้จ่ายที่มากกว่าแค่ “ความมั่นคง” เป็นทุน UN ได้ 28 ปี

รัฐบาลของหลายประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มักอ้างว่า การทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในด้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “การป้องปราม” (deterrence) ซึ่งจำเป็นต่อการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคง เช่น สงครามในยูเครน ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี หรือความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน

อย่างไรก็ตาม รายงานขององค์กรรณรงค์เพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ (ICAN) ชี้ให้เห็นว่า แรงผลักดันหลักของการเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธนิวเคลียร์ในปัจจุบัน ไม่ได้เกิดจากวิกฤตความมั่นคงโดยตรง หากเป็นผลจากภาระผูกพันระยะยาว ทั้งจากสัญญาเก่าที่ยังดำเนินอยู่ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระบบขนส่งและส่งกำลังอาวุธนิวเคลียร์

อลิเซีย แซนเดอร์ส-แซกเร ผู้ร่วมเขียนรายงานของ ICAN กล่าวว่า “เราเห็นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากพันธะผูกพันในสัญญาระยะยาว มากกว่าจากวิกฤตความมั่นคง”

ในรายงานฉบับเดียวกัน ICAN ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า งบประมาณที่ 9 ประเทศผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ใช้จ่ายในปี 2024 เพียงปีเดียว มีมูลค่าสูงพอที่จะเป็นงบประมาณประจำปีขององค์การสหประชาชาติได้ถึง 28 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลอย่างรุนแรงในการจัดสรรทรัพยากรของระบบระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ เงิน 1 แสนล้านดอลลาร์นี้ยังสามารถถูกนำไปใช้เพื่อรับมือกับปัญหาเร่งด่วนระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย หรือการศึกษา ซึ่งเป็นประเด็นที่กระทบต่อความมั่นคงของมนุษยชาติโดยตรง

ทั้งที่รัฐบาลของประเทศผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ต่างก็ยอมรับว่า “สงครามนิวเคลียร์ไม่มีใครชนะ และไม่ควรเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด” การลงทุนอย่างต่อเนื่องในระบบอาวุธนิวเคลียร์กลับสวนทางกับหลักการนั้นอย่างสิ้นเชิง และยังตัดโอกาสจากการลงทุนที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและก่อประโยชน์ต่อประชากรโลกอย่างแท้จริง

เอกชน: ผู้รับประโยชน์หลักในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์

ภายใต้โครงสร้างของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ระดับโลก รายงานจากองค์กร ICAN ระบุชัดว่า ภาคเอกชนเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงและมากที่สุด จากการลงทุนด้านอาวุธนิวเคลียร์ของรัฐ

ในปี 2024 บริษัทเอกชนหลายสิบแห่งทั่วโลกถือครองสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา บำรุงรักษา และส่งกำลังอาวุธนิวเคลียร์ รวมมูลค่าสูงถึง 4.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในหลายกรณี สัญญาเหล่านี้มีระยะเวลาดำเนินงานยาวไปจนถึงปี 2040 สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการลงทุนระยะยาวและการจัดสรรงบประมาณจำนวนมากในโครงการนิวเคลียร์ของประเทศมหาอำนาจ

Honeywell International เป็นบริษัทที่ถือครองสัญญามูลค่าสูงสุด มากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ รองลงมาคือ Boeing ที่ถือครองสัญญารวมราว 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัทกลุ่มรอง เช่น Fluor, Northrop Grumman และ Bechtel ต่างมีสัญญาในช่วง 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์

ในปีเดียวกัน ยังมีการลงนามในสัญญาใหม่เพิ่มเติมอีก ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากระบบนี้ยังได้ลงทุนกว่า 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินกิจกรรมล็อบบี้ต่อรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศที่มีการเปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายสาธารณะอย่าง สหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส

ซูซี สไนเดอร์ ผู้ประสานงานโครงการของ ICAN ระบุว่า “ปัญหาอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ และการแก้ไขนั้นเริ่มต้นจากการเข้าใจว่า ใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากมัน”

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ไม่ได้มีเพียงมิติด้านความมั่นคงเท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อทิศทางนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ

ความเสี่ยงนิวเคลียร์สูงสุดในรอบหลายทศวรรษ

ในบริบทของความตึงเครียดระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งจากสงครามในยูเครน ความขัดแย้งในฉนวนกาซา รวมถึงสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เอเชียใต้และเอเชียตะวันออก แนวโน้มของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้แต่การขู่ใช้อาวุธเหล่านี้ ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

องค์กร ICAN เตือนว่า แนวคิด “การป้องปราม” (deterrence) ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในเชิงยุทธศาสตร์นั้น กำลังผลักดันโลกให้เข้าใกล้จุดเสี่ยงสูงสุดมากขึ้นเรื่อย ๆ และเปิดทางให้เกิดความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่หายนะระดับโลก

รายงานยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรียกว่า “ช่องว่างประชาธิปไตย” (Democratic Deficit) โดยในหลายประเทศที่อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตย กลับพบว่าข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งฐานหรือการเก็บรักษาอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศพันธมิตรบนดินแดนของตน ถูกปกปิดจากทั้งประชาชนและสมาชิกรัฐสภา

อลิเซีย แซนเดอร์ส-แซกเร หนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าวว่า “นี่คือการดูแคลนประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง... ประชาชนในบางประเทศไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีอาวุธนิวเคลียร์ของต่างชาติถูกนำเข้ามาตั้งอยู่บนแผ่นดินของตนเอง”

โลกอีกใบที่เป็นไปได้

ทั้งนี้ แม้ในระดับนโยบายของประเทศมหาอำนาจจะยังคงเดินหน้าเสริมแสนยานุภาพด้านนิวเคลียร์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของประชาคมระหว่างประเทศกลับชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม ปัจจุบันมี กว่า 98 ประเทศทั่วโลก และ องค์กรภาคประชาสังคมกว่า 700 แห่ง ที่ร่วมกันสนับสนุน สนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์แห่งสหประชาชาติ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons: TPNW) ซึ่งมีผลบังคับใช้มาแล้วเป็นเวลากว่า 4 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะมีประเทศภาคีเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้

ICAN ปิดท้ายรายงานด้วยการย้ำว่า การสร้างโลกปลอดอาวุธนิวเคลียร์ไม่ใช่อุดมคติ แต่คือแนวทางที่จำเป็นต่อเสถียรภาพระยะยาวของมนุษยชาติ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบต่ออนาคตของโลกใบนี้


อ้างอิง: ICAN

แชร์
ปี 67 โลกทุ่มกว่า 3.2 ล้านล้านบาทสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ‘สหรัฐฯ’ยืนหนึ่ง