นโยบาย “America First” ฉุดการท่องเที่ยวทั่วโลก สหรัฐฯ จ่อสูญรายได้กว่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ นักเดินทางแห่เปลี่ยนจุดหมาย
นโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการท่องเที่ยวโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ทวีความตึงเครียด การกวาดล้างตามแนวชายแดน หรือการลิดรอนสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแบนผู้เดินทางจาก 12 ประเทศ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่จุดชนวนให้เกิดกระแสคว่ำบาตรในวงกว้าง นักเดินทางนับหมื่นรายยกเลิกทริปเข้าสหรัฐ หันไปเลือกจุดหมายปลายทางที่ “เป็นมิตร” มากกว่า
ตามรายงานของสภาการท่องเที่ยวและการเดินทางโลก (WTTC) สหรัฐจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4 แสนล้านบาทในปี 2025 ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาขาดดุลการค้า เพราะค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติถือเป็น “การส่งออก” ของประเทศ
ปี 2025 เดิมเคยถูกคาดหมายว่าจะเป็น “ปีทอง” ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสหรัฐ โดย Tourism Economics ประเมินไว้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวแตะเกือบ 79 ล้านคน ใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายกีดกันทางการค้าที่ยกระดับขึ้นภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ฉุดความเชื่อมั่นและบั่นทอนภาพรวมของอุตสาหกรรม ส่งผลให้ประมาณการล่าสุดถูกปรับลดลงเหลือเพียง 66 ล้านคน
ข้อมูลจากสำนักงานการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2025 จำนวนนักเดินทางที่เข้าสหรัฐทางอากาศลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อแคนาดา จีน และเม็กซิโก ทำให้ยอดผู้โดยสารทางอากาศลดลงมากถึง 10% สะท้อนผลกระทบโดยตรงจากนโยบายที่ก่อให้เกิดความลังเลในการเดินทาง
แคนาดา ซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน การเดินทางข้ามพรมแดนทางบกจากแคนาดาในเดือนเมษายนลดลงถึง 15% และเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน Tourism Economics คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวแคนาดาทั้งปีจะลดลงกว่า 20% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาตลาดสำคัญ
ขณะเดียวกัน สายการบินยุโรปรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Air France, British Airways หรือ Lufthansa ต่างลดจำนวนเที่ยวบินมายังสหรัฐในเส้นทางหลัก เช่น นิวยอร์ก ไมอามี แอตแลนตา และลาสเวกัส ตามข้อมูลจาก AeroRoutes แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงในตลาดยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการที่ระบุว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตกจะลดลงราว 5.8% ตลอดทั้งปี
ผลกระทบยังลามไปถึงธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลก แพลตฟอร์มรายใหญ่อย่าง Airbnb, Booking.com และ Expedia ต่างออกแถลงการณ์เตือนถึงยอดจองในตลาดสหรัฐที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้รวมในปี 2025
แม้จะมีบางตลาด เช่น อาร์เจนตินา บราซิล อิสราเอล มองโกเลีย และรัสเซีย ที่จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ในภาพรวมกลับพบว่า 11 จาก 20 ตลาดหลักมีแนวโน้มลดลงในช่วง 4 เดือนแรกของปี หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป เป้าหมายของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ตั้งไว้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 6.5% ในปีนี้ โดยเฉพาะจากแคนาดา เม็กซิโก และยุโรป อาจไม่สะท้อนความเป็นจริง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ คือความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความไม่แน่นอนในการเดินทาง โดยจนถึงกลางปี 2025 มีอย่างน้อย 12 ประเทศที่ออกประกาศเตือนประชาชนเกี่ยวกับการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงปัญหาความล่าช้าในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง การถูกยึดโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการถูกกักตัวโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน
กรณีล่าสุดที่จุดกระแสความไม่พอใจในยุโรป เช่น นักท่องเที่ยวชาวเวลส์ที่ถูกควบคุมตัวเกือบ 3 สัปดาห์ที่ชายแดน และช่างสักชาวเยอรมันที่พยายามเข้าสหรัฐฯ ผ่านเม็กซิโกแต่ถูกกักตัวนานถึง 45 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลของไอร์แลนด์ เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ยังได้ออกคำแนะนำเฉพาะต่อกลุ่มประชากรข้ามเพศและไม่ระบุเพศว่า อาจเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าสหรัฐฯ ภายใต้คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จำกัดให้การรับรองทางเพศมีเพียงเพศชายและหญิงเท่านั้น
แม้ในปี 2025 หลายประเทศทั่วโลกจะสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว แต่สหรัฐฯ กลับกลายเป็นประเทศเดียวจาก 184 ประเทศที่ถูกติดตามโดยสภาการท่องเที่ยวและการเดินทางโลก (WTTC) ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงในปีนี้
WTTC ประเมินว่า รายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จะหดตัวลง 7% เหลือไม่ถึง 169,000 ล้านดอลลาร์ และจะยังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 จนกว่าจะถึงปี 2030
ในทางกลับกัน หลายประเทศกำลังเร่งคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเปิดประเทศเชิงรุกในปี 2025 ด้วยการขยายสิทธิวีซ่าฟรีจาก 3 ประเทศก่อนโควิด-19 เป็นมากกว่า 54 ประเทศ ส่งผลให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งขึ้นแตะ 144,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 13% จากระดับสูงสุดในปี 2019
ญี่ปุ่นก็เป็นอีกกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน โดยสร้างสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 3.9 ล้านคนในเดือนเดียว ปัจจัยสำคัญมาจากโรงแรมหรูระดับโลก ร้านอาหารชั้นนำ และค่าเงินเยนที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางจากแคนาดา ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้ ที่เลือกหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐ
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ กลับเผชิญกับแนวโน้มถดถอยอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐ (U.S. Travel Association) ระบุว่า การจองเที่ยวบินมายังสหรัฐฯ ในช่วง 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2025 ลดลง 11% จากปีก่อน โดยเฉพาะยอดจองจากแคนาดาที่ร่วงลงถึง 33% ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สูญเสียรายได้กว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ และกระทบการจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากกว่า 40,000 ตำแหน่ง
ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งความซบเซาสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ผลจากกระแสต่อต้านนโยบาย "America First" ของรัฐบาลทรัมป์ ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักเดินทางทั่วโลก
จาก 20 เมืองที่เคยทำรายได้สูงสุดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีถึง 18 เมืองที่คาดว่ารายได้จะหดตัวในปีนี้ โดยเมืองที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ ดีทรอยต์, ซีแอตเทิล และ แทมปา ขณะที่ ฟิลาเดลเฟีย และ ฟินิกซ์ คาดว่ารายได้จะลดลงราว 8% ส่วน ริเวอร์ไซด์ เมืองประตูสู่ปาล์มสปริงส์และอุทยานแห่งชาติโจชัวทรี คาดว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 7%
แม้แต่ นิวยอร์กซิตี้ เมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศ ก็ยังเผชิญแรงกดดันเต็มๆ โดยทางการคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงถึง 17% เมื่อเทียบกับปี 2024 จากผลของนโยบายภาษีและมาตรการควบคุมผู้อพยพที่เข้มข้นขึ้นภายใต้รัฐบาลทรัมป์
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่ลดการเดินทางมายังสหรัฐฯ ชาวอเมริกันเองก็มีแนวโน้มชะลอการเดินทางออกนอกประเทศเช่นกัน โดยผลสำรวจของ The Conference Board ระบุว่า มีเพียง 18% ของชาวอเมริกันที่มีแผนเดินทางต่างประเทศในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ลดลง 6 จุด จากการสำรวจครั้งก่อนในเดือนธันวาคม
ขณะที่ผลสำรวจของ Future Partners ชี้ว่า เกือบ 70% ของชาวอเมริกันปรับแผนการท่องเที่ยวอย่างน้อยหนึ่งรายการในปีนี้ โดยมีเหตุผลหลักเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยในจำนวนนี้ 14% ตัดสินใจยกเลิกทริปต่างประเทศและเลือกท่องเที่ยวภายในประเทศแทน