Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สงครามส่งด่วน ใครคือธุรกิจขนส่งไทย ที่จะอยู่รอดในสมรภูมินี้
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สงครามส่งด่วน ใครคือธุรกิจขนส่งไทย ที่จะอยู่รอดในสมรภูมินี้

4 มิ.ย. 68
16:48 น.
แชร์

กระแสของ MAD Unicorn สงครามสงด่วน ภาพยนต์ใน Netflix ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธุรกิจของ Flash Express ที่ผู้ก่อตั้งคือ คุณคมสันต์ ลี  ซึ่งกำลังถูกพูดถึงอยู่ในขณะนี้ 

แม้ในภาพยนต์เราได้เห็นมุมของการต่อสู้ ช่วงชิง และแนวคิดในการทำธุรกิจอย่างน่าสนใจ แต่สภาพความเป็นจริงธุรกิจขนส่งในประเทศไทยขาดทุนหนักเกือบทุกราย ยกเว้น บริษัทไปรษณีย์ไทย ที่ในอดีตก็เคยเจอสภาพการขาดทุนอย่างหนัก แต่ปัจจุบันกลับมาทำกำไรที่เริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ 

ทำให้ตั้งคำถามว่า สมรภูมิของธุรกิจขนส่งในประเทศไทย จะเหลือธุรกิจที่อยู่รอดกี่ราย และผู้ที่จะอยู่รอดควรปรับกลยุทธ์อย่างไร บทความนี้ SPOTLIGHT พูดคุยกับ  ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX

สงครามราคา เผาเงิน จนขาดทุนหนักหลายพันล้าน 

ธุรกิจขนส่งพัสดุที่ให้บริกาในไทยปัจจุบันมีอยู่ราวๆ 10 ราย เช่น Flash Express , KEX ,J&T, ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น ล้วนกำลังเผชิญ “สงครามราคา” อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนโควิด 19 ระบาด ยุคนั้นมีบริษัทขนส่งพัสดุเกิดขึ้นมากมายตามเทรนด์การซื้อของออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ความต้องการขนส่งที่รวดเร็วจึงเกิดขึ้น แถมมาด้วยการตัดราคากันอย่างดุเดือดเผื่อช่วงชิงลูกค้า จึงไม่น่าแปลกใจที่สภาพธุรกิจในกลุ่มนี้เรียกว่า ขาดทุนหนัก …

แม้แต่ยูนิคอร์นตัวแรกอย่าง Flash Express ก็มีกำไรแค่ 5 ล้านกว่าบาทในปี 2564 ที่เหลือขาดทุนหนักทุกปี แม้ว่าจะเคยทำรายได้ทะลุ 2 หมื่นล้านบาทก็ตาม  

ในขณะที่ KEX หลังจากเข้ามาเจาะตลาดในไทยเคยมียุคที่รุ่งเรือง ในช่วงปี 63 ที่ทั้งรายได้และกำไรเติบโต จนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปลายปี 2563 แต่สุดท้ายก็มีอันต้องขาดทุนหนักหลายพันล้านบาทเช่นกัน จากราคาหุ้นหลับสิบบาท เหลือหลักหน่วยในวันนี้ ทำให้บริษัทมีมูลค่าตกลงกว่า 95% เหลือหลักพันล้านบาทภายในเวลาไม่กี่ปี จนมีข่าวเตรียมถอนตัวออกจากตลาดหุ้นไทย 

สถานการณ์นี้สะท้อนการแข่งขันที่เข้มข้น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่โดยรวมจะเติบโต 12% มีมูลค่าสูงถึง 107,000 ล้านบาท แต่กำไรจะกระจุกอยู่กับบริษัทที่มีความเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  เช่น SPX Express ของ Shopee และ Lazada Logistics  ทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจขนส่งอย่างเดียวอาจต้องปรับกลยุทธฺ์อย่างหนัก

เพราะดูเหมือนยิ่งตัดราคายิ่งตกอยู่ในสภาพขาดทุน และใครสายป่านยาวและอดทนได้นานกว่าก็อาจเป็นผู้อยู่รอด หรือผูกขาดในตลาดนี้ไปในอนาคต ซึ่งปัจจุบันสภาพการแข่งขันกำลังเป็นช่วงเวลาแห่งการคัดกรองผู้เล่นที่จะเหลือรอดในตลาดนี้ 

ปัญหาโลกเมื่อภาคขนส่งสากลเผชิญ “Freight Recession”

ธุรกิจการขนส่งพัสดุในต่างประเทศมีสถานการณ์ที่ไม่ได้ดีกว่าไทย โดยอุตสาหกรรมขนส่งโลกประสบปัญหา “Freight Recession” ในปี 2024 จากสินค้าคงคลังสูงและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ค่าขนส่งจากจีนไปสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 193% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023

อีกทั้งยังเผชิญปัญหาการคับคั่งที่ท่าเรือสำคัญ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และความตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลางที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางขนส่งสำคัญ รวมถึงภัยแล้งที่คลองปานามาที่ลดปริมาณการขนส่งทางรางลง 36% สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ปัญหาเฉพาะภูมิภาคใดเพียงประเทศใด แต่เป็นความท้าทายระดับโลกที่ต้องการการปรับตัวอย่างเร่งด่วน

กลยุทธ์รอด 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน

มุมมองของ ดร.ปิยศักดิ์ ที่ให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT มองทางรอดของธุรกิจขนส่งว่า ผู้บริหารต้องปรับกลยุทธ์จาก “การแข่งขันราคา” สู่ “การสร้างมูลค่า” ผ่าน 3 แนวทางหลัก 

  • ประการแรก สร้างความแตกต่างเฉพาะ ด้วยการพัฒนาบริการเสริมที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม เช่น การขนส่งอาหารสด สินค้าแฟชั่น หรือบริการแพ็คกิ้งพิเศษ แทนการแข่งขันราคาเพียงอย่างเดียว
  • ประการที่สอง ลงทุนเทคโนโลยีอัจฉริยะ ผ่านระบบ AI, IoT และ Blockchain ในการบริหาร Supply Chain, ระบบ TMS สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลและเตรียมพร้อมจัดการยานยนต์ไฟฟ้า ระบบแยกเส้นทางการจัดส่งแบบเรียลไทม์ โฟกัสตลาดเฉพาะ (Niche) โดยใช้ประโยชน์จากการเติบโตของการค้าชายแดน ธุรกรรมออนไลน์ และกลุ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ประการสุดท้าย เน้นสร้างคุณค่า “คุณค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากกว่าราคา โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่ออนาคต

ไปรษณีย์ไทย กลับมามีกำไร  บทเรียนการฟื้นตัวจากวิกฤต

หนึ่งในผู้เล่นธุรกิจขนส่งอย่างไปรษณีย์ไทย ที่กว่าจะมีกำไรในวันนี้ ได้ผ่านช่วงวิกฤตที่หนักหนาสาหัสระหว่างปี 2564-2565 โดยขาดทุนสะสมกว่า 4,700 ล้านบาท จากการถูกดิสรัปท์ด้วยสงครามราคาที่รุนแรงจากผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้งบริษัทข้ามชาติและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สร้างเครือข่ายขนส่งเอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ ไปรษณีย์ไทยกลับเลือกที่จะปรับ โครงสร้างอย่างรุนแรง ลดบุคลากรจาก 42,000 เหลือ 38,000 คน และลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 15% ผลจากการปรับตัวนี้ทำให้องค์กรอายุ 140 ปีสามารถพลิกกลับมาทำกำไร 78.54 ล้านบาทในปี 2566 และเพิ่มขึ้นเป็น 534.45 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2568 กำไรโตกว่า 227% 

ดร.ปิยศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า ความสำเร็จของไปรษณีย์ไทยมาจากการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสงครามราคาแบบฆ่าตัวตาย แต่เลือกที่จะเน้น "คุณภาพ" และสร้างความแตกต่างผ่านกลยุทธ์ "Beyond Logistics" ด้วยการพัฒนาบริการดิจิทัล เช่น Prompt Post สำหรับการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ บริการ Postman as a Service ที่ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน นอกจากนี้ ยังโฟกัสตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น การขนส่งผลไม้แปรรูป สินค้าควบคุมอุณหภูมิ และยาเวชภัณฑ์ที่ต้องการการควบคุมเงื่อนไขเฉพาะ

ไปรษณีย์ไทยใช้จุดแข็งเฉพาะตัวที่คู่แข่งไม่มี ได้แก่ ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมา 140 ปี เครือข่ายครอบคลุมกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ และการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลที่คู่แข่งไม่สามารถเข้าได้ 

ในสมรภูมิที่ "ต้นทุนคืออาวุธ" และ "ความอดทนคือเกราะป้องกัน" ผู้เล่นในธุรกิจขนส่งไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฟ้นหาผู้รอดตัวจริงอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาอาจพิสูจน์ว่า ไม่ใช่แค่ใครที่ยอมเผาเงินได้นานกว่า แต่คือใครที่สามารถเปลี่ยนจาก “การแข่งขันราคา” มาเป็น “การสร้างคุณค่า” ได้ก่อน ท่ามกลางพายุของสงครามราคาและความเปลี่ยนแปลงระดับโลก องค์กรที่พร้อมปรับโครงสร้าง ใช้เทคโนโลยี และเลือกยืนหยัดบนความยั่งยืนแทนการเผชิญหน้าแบบเฉือนกันด้วยต้นทุนเท่านั้น จะเป็นผู้ที่ไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่พร้อมจะเติบโตในยุคใหม่ของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย


ที่มา: INVX , บริษัทไปรษณีย์ไทย

แชร์
สงครามส่งด่วน ใครคือธุรกิจขนส่งไทย ที่จะอยู่รอดในสมรภูมินี้