
ในช่วงปีที่ผ่านมา ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ประกอบการไทยเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากประเทศจีน จนเกิดปัญหา ‘สินค้าจีนล้นตลาด’
เรื่องนี่ส่งผลโดยตรงต่อ SME ไทยในการแข่งขันขึ้นสังเวียนโดยต้องมี ‘ราคา’ เป็นหลักเกณฑ์ตัดสิน เพราะสินค้าจีนตอนนี้มีครอบคลุมตั้งแต่สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า สินค้าเทคโนโลยี จนไปถึงอาหาร เรียกได้ว่าไม่ว่าเราจะต้องการอะไรตอนนี้สินค้าจีนมีหมด ราคาดี คุณภาพก็พอใช้ได้ คำถามก็คือแล้วผู้ประกอบการไทยจะสู้ได้อย่างไร ในวันที่เศรษฐกิจซบเซา ทุกคนต่างรัดเข็มขัด ซื้อของจากการเปรียบเทียบราคาทั้งนั้น
นั้นทำให้กรมศุลกากรมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเรียกเก็บค่าภาษีอากรกับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศขาเข้าที่มูลค่ามากกว่า 1 บาท แต่ไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด้วนของกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทยและสกัดกั้นการทุ่มตลาดจากสินค้าต่างประเทศ
โดยกรมศุลกากรได้กำหนดให้สิ่งของนำเข้า ไม่ว่าจะมาจากประเภทการขนส่งใดก็ตาม ที่มีมูลค่า มากกว่า 1 บาท แต่ไม่เกิน 1,500 บาท ต้องชำระค่าอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งมีผล บังคับใช้กับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ขาเข้าที่มาถึงประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบดังกล่าว บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ขอประกาศให้ผู้ใช้บริการทราบว่า สิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศขาเข้าที่มีมูลค่ามากกว่า 1 บาท แต่ไม่เกิน 1,500 บาทจะถูกจัดส่งไปยังที่อยู่ผู้รับพร้อมรับชำระค่าภาษีอากรและค่าปฏิบัติการไปรษณีย์ โดยผู้ใช้บริการสามารถ ชำระเงินได้ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดหรือเงินสุดกับเจ้าหน้าที่นำจ่ายก่อนรับสิ่งของ
นั้นแปลว่าหากเราสั่งของจากต่างประเทศ ต่อไปนี้ต้องจ่าย VAT 7% เช่น
ที่มา ไปรษณีย์ไทย