มัสก์สูญ 1.2 ล้านล้านบาทหลังปะทะทรัมป์ ถ้าทะเลาะต่อจะเสียอะไรอีก?
สถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ SpaceX กลับกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง แม้มัสก์จะเคยเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทรัมป์คว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 30 พฤษภาคม ทั้งคู่ยังปรากฏตัวเคียงข้างกันในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว เพื่อส่งท้ายบทบาทของมัสก์ในทำเนียบขาว แต่เพียงไม่กี่วันถัดมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็เปลี่ยนไป เมื่อมัสก์ออกมาวิจารณ์ร่างกฎหมายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่มีชื่อเล่นว่า “Big, Beautiful Bill” โดยชี้ว่าเป็นร่างกฎหมายที่เต็มไปด้วยการใช้จ่ายเกินตัวและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม พร้อมเตือนว่าจะยิ่งเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศ
เขาให้สัมภาษณ์กับ CBS News และโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนว่า “ขอโทษทีนะครับ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ร่างกฎหมายใช้จ่ายของสภาคองเกรสฉบับนี้เต็มไปด้วยงบฟุ่มเฟือยและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างที่สุด คนที่โหวตให้ควรอับอายเถอะ พวกคุณรู้ว่ามันผิด และก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบ ตอบกลับในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่า มัสก์รู้กระบวนการของร่างกฎหมายนี้ดีและไม่เคยแสดงความเห็นคัดค้านมาก่อน ขณะที่มัสก์โพสต์โต้ทันควันว่า เขาไม่เคยเห็นร่างนี้เลย และมันถูกผลักดันผ่านสภาในช่วงกลางดึกโดยแทบไม่มีใครได้อ่านอย่างรอบคอบ
หลังจากนั้นในวันที่ 5 มิถุนายน ทั้งสองคนก็เปิดฉากโต้คารมกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียลมีเดียของตัวเองคือ Truth Social และ X โดยทรัมป์ขู่จะยกเลิกเงินอุดหนุนและสัญญาทั้งหมดที่รัฐเคยมอบให้กับบริษัทในเครือของมัสก์ พร้อมเหน็บว่ารัฐบาลไบเดนก็ควรทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
ด้านมัสก์สวนกลับว่า หากไม่มีเขา ทรัมป์ไม่มีทางชนะเลือกตั้ง และพรรครีพับลิกันคงไม่รักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ พร้อมทิ้งท้ายว่า “อกตัญญูจริง ๆ” ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาโต้เพิ่มเติมว่า มัสก์ไม่พอใจเพราะร่างกฎหมายนี้มีการตัดเครดิตภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง Tesla ได้ประโยชน์อย่างมาก โดยนักวิเคราะห์จาก JPMorgan ประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจลดกำไร Tesla ลงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
หุ้น Tesla ดิ่งหนัก มัสก์สูญทรัพย์ 1.2 ล้านล้านบาท หลังปะทะเดือดทรัมป์
ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นระหว่างอีลอน มัสก์ กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เพียงจุดกระแสการเมืองร้อนแรง แต่ยังสั่นสะเทือนถึงตลาดทุนอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ราคาหุ้นของ Tesla ดิ่งลงถึง 14.3% นับเป็นการร่วงลงหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันเดียว
ผลกระทบที่ตามมาคือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของมัสก์ลดลงกว่า 34,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท) ภายในวันเดียว กลายเป็นความสูญเสียที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของดัชนี Bloomberg Billionaires Index รองจากการลดลงที่เขาเคยประสบในปี 2021
สาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น Tesla อย่างหนัก มาจากคำขู่ของทรัมป์ที่โพสต์บน Truth Social ว่าจะ “ยกเลิกสัญญาและเงินอุดหนุนทั้งหมดจากรัฐบาลกลาง” ที่เคยมอบให้กับบริษัทในเครือของมัสก์ ไม่ว่าจะเป็น Tesla หรือ SpaceX ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2000 มูลค่าสัญญารวมทะลุ 22,500 ล้านดอลลาร์
หากคำขู่ดังกล่าวกลายเป็นจริง จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระแสรายได้ของธุรกิจในเครือมัสก์ และอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพระยะยาวของอาณาจักรธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมา
ความเสียหายอาจลุกลามเกินกว่าแค่หุ้น Tesla
แม้ในขณะนี้ มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอีลอน มัสก์ จะอยู่ที่ราว 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากราคาหุ้น Tesla ที่ร่วงลง แต่ความเสี่ยงอาจขยายตัวไปไกลกว่าที่ตัวเลขนี้สะท้อน เพราะยังไม่รวมผลกระทบต่อเครือข่ายธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ที่มัสก์เป็นเจ้าของหรือมีบทบาทสำคัญ
หนึ่งในนั้นคือ SpaceX บริษัทเทคโนโลยีอวกาศที่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเฉพาะโครงการร่วมกับ NASA และกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีมูลค่าประเมินล่าสุดสูงถึง 350,000 ล้านดอลลาร์
ยังมี xAI Holdings บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมัสก์เพิ่งผลักดันให้เป็นคู่แข่งของทั้ง OpenAI และ Meta รวมถึง Neuralink สตาร์ทอัพเทคโนโลยีปลูกถ่ายสมอง ที่เพิ่งระดมทุนได้กว่า 650 ล้านดอลลาร์ในรอบล่าสุด และมีมูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์
หากประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้ากดดันมัสก์ผ่านหน่วยงานรัฐ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA), คณะกรรมาธิการการค้า, หรือแม้แต่กระทรวงกลาโหม ซึ่งมีบทบาทในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างและการกำกับดูแลด้านความมั่นคง ธุรกิจเหล่านี้ก็อาจเผชิญผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทั้งในแง่รายได้ ความเชื่อมั่น และการเข้าถึงแหล่งทุนในอนาคต
กล่าวได้ว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีสำหรับอาณาจักรธุรกิจของอีลอน มัสก์ โดยเฉพาะหากประเด็นนี้ยังคงยืดเยื้อและขยายไปสู่ระดับนโยบายและกฎหมายในระยะยาว
