สินทรัพย์ดิจิทัล

"ศุภวุฒิ" เตือนคริปโตเสี่ยงดิ่ง ซ้ำรอยปี 61 ร่วง 80% หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย

31 ม.ค. 65
"ศุภวุฒิ" เตือนคริปโตเสี่ยงดิ่ง ซ้ำรอยปี  61 ร่วง 80%  หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยผ่านเว็บไซต์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นตลาดที่ใหม่และมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเพิ่งจะเกิดขึ้น เมื่อปี 2551-2552 และที่ผ่านมา ก็เคยมีประสบการณ์เมื่อปี 2561 ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง และลดงบดุลไปประมาณ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

ส่งผลให้คริปโทเคอร์เรนซี ทั้งบิตคอยน์และอีเทอเรียมที่มีมูลค่าตลาดรวมกัน 70-80% ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด ได้รับผลกระทบจนราคาลดลงไปกว่า 70-80% ซึ่งมาถึงรอบนี้ที่เฟดส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ย และลดงบดุล ก็จะเจอปัญหาเดียวกัน

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมูลค่าตลาด (market cap) ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก อยู่ที่ราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก่อนหน้านี้ก็ขึ้นไปถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งก็มีโอกาสได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่าครั้งก่อน

 

“ตอนนี้ตลาดใหญ่มาก ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่าครั้งที่แล้ว ซึ่งตอนมีรายงานเฟดออกมา ราคาก็ร่วง คือ มีประวัติศาสตร์ให้เห็นอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี คริปโทนี้ จะต้องแบ่งแยกให้เป็น ว่าเคอร์เรนซีตัวไหนมีประโยชน์ มี utility เพราะยังมีเทคโนโลยีที่พยายามจะทำให้คริปโทใช้งานได้ง่าย ใช้ได้ถูกและเร็วขึ้น ฉะนั้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ต้องไปดูในแต่ละตัว ซึ่งปัจจุบันคริปโทมีอยู่เป็น 100 ตัว” ดร.ศุภวุฒิกล่าว

 

ดร.ศุภวุฒิกล่าวด้วยว่า อยากเห็นนโยบายประเทศไทยเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชัดเจน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมานั่งหารือและประเมินว่าอยากเห็นอนาคตของสินทรัพท์ดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซีเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ขนาดของตลาดควรจะใหญ่แค่ไหน และจะมีบทบาทอย่างไรในเศรษฐกิจโลก

 

ซึ่งหากมีประโยชน์ หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในโลกขยายใหญ่ขึ้น จาก 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 5 หรือ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหนของตลาด และจัดตำแหน่งตัวเองอย่างไร หรือจะหาตลาดเฉพาะ (niche) ให้ตัวเองอย่างไร จากนั้น ก็ต้องบอกให้ประชาชนได้รับรู้ และวางโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุน

 

“จุดสำคัญอยู่ที่รัฐบาล จะต้องมาประเมินว่าคริปโท จะเป็นอย่างไร จะต้องมี white paper มา หรือเรียกเอกชนมาคุยก็ได้ เพื่อตกผลึก ในแง่ของแผนยุทธศาสตร์ก่อน เสร็จแล้วจะเก็บภาษีหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องสุดท้าย ไม่ใช่เรื่องแรก แต่คำถามคือภาครัฐมีมุมมองต่อตลาดคริปโทในอีก 10-20 ปีข้างหน้าอย่างไร แล้วจึงค่อยมาออกแบบนโยบายกันว่าคริปโท จะไปทางไหน และไทยจะอยู่ตรงไหนของ ecosystem ถึงตอนนั้น ถ้าจะมีการเก็บภาษีก็ไม่เป็นไร” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

advertisement

SPOTLIGHT