Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไมทุเรียนไทยราคาร่วงหนัก หน้าสวนต่ำกว่า 100 บาท/กก. ดิ่งสุดในรอบ 5ปี
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ทำไมทุเรียนไทยราคาร่วงหนัก หน้าสวนต่ำกว่า 100 บาท/กก. ดิ่งสุดในรอบ 5ปี

30 พ.ค. 68
14:47 น.
แชร์

ปี 2568 กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมทุเรียนไทย เมื่อราคาทุเรียนหน้าสวนร่วงลงต่ำกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางความเปราะบางของระบบการผลิตและการส่งออกที่เริ่มปะทุชัดเจน

ขนิษฐา ปะกินำหัง นักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) วิเคราะห์ว่า แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทุเรียนจะก้าวขึ้นมาเป็นผลไม้ส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะในตลาดจีนซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 90% ของปริมาณทุเรียนทั้งหมดของไทย แต่ปี 2568 กลับเป็นปีที่อุตสาหกรรมทุเรียนต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น การขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง การผลิตที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว และปัญหาคุณภาพสินค้า ไปจนถึงแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกอย่างมาตรการทางการค้าของจีน ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักที่ไทยพึ่งพาอย่างมาก

สถานการณ์ในปีนี้เริ่มจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่มีพื้นที่ปลูกสูงถึง 469,580 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตในภูมิภาคนี้พุ่งขึ้นกว่า 56.89% จากปีก่อน ขณะที่ผลผลิตรวมทั้งประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.682 ล้านตัน เพิ่มขึ้นราว 30.72% จากปี 2567 ปัจจัยด้านสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยก็มีส่วนทำให้ต้นทุเรียนติดผลดีเกินคาด

ขนิษฐาระบุว่า แม้ภาพรวมผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอาจดูเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ในความเป็นจริงกลับสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่เริ่มกัดกินความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งภาวะล้นตลาด การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดส่งออก และปัญหาคุณภาพที่เริ่มปรากฏตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

จีนยังเป็นตลาดหลัก แต่ “ทุเรียนอ่อน” กำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่น

แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นตลาดส่งออกหลักของทุเรียนไทย แต่ปัญหาด้านคุณภาพกลับกลายเป็นประเด็นที่กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกรณี “ทุเรียนอ่อน” ซึ่งกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงช่องโหว่ในระบบการผลิตและการควบคุมมาตรฐานของไทย

นักวิจัยจาก TDRI ระบุว่า ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลต่อยอดขายในระยะสั้น แต่ยังมีผลกระทบเชิงลึกต่อชื่อเสียงของสินค้าเกษตรไทยในระยะยาว โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้ว่า ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.พ.) ไทยส่งออกทุเรียนมูลค่ารวม 128.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,374 ล้านบาท) แบ่งเป็นทุเรียนสด 85.8 ล้านดอลลาร์ และแช่แข็ง 42.7 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตรพบว่า มากกว่า 30% ของทุเรียนที่ส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าวเป็น “ทุเรียนอ่อน” ที่ยังไม่เหมาะสมต่อการบริโภค

ปัญหาทุเรียนอ่อนมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการเร่งเก็บเกี่ยวเพื่อทำราคาช่วงต้นฤดูกาล ประกอบกับการขาดเครื่องมือวัดความสุกที่แม่นยำ ขาดระบบคัดแยกคุณภาพ และไม่มีมาตรการควบคุมคุณภาพที่รัดกุมจากภาครัฐ ส่งผลให้ทุเรียนที่ยังไม่พร้อมบริโภคจำนวนมากหลุดเข้าสู่กระบวนการส่งออก

ผลกระทบของปัญหานี้ชัดเจนในตลาดจีน ซึ่งมีระบบแจ้งเตือนและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่รวดเร็ว ทำให้ภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยในเดือนเมษายน 2568 ศุลกากรจีนได้ยกระดับมาตรการตรวจสอบ และสั่งระงับการนำเข้าทุเรียนจากล้งไทยบางแห่ง หลังตรวจพบว่าทุเรียนมากกว่า 40% มีคุณภาพต่ำ และบางล็อตมีการปนเปื้อนของสารต้องห้าม เช่น แคดเมียม และสารย้อมสี Basic Yellow 2 (BY2)

สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อปริมาณการส่งออก แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจีนที่มีต่อทุเรียนไทย

ภาครัฐไทยได้เร่งดำเนินมาตรการเพื่อคลี่คลายปัญหา โดยกรมวิชาการเกษตรได้สั่งระงับการส่งออกทุเรียนจากแหล่งที่พบการปนเปื้อน ดำเนินการตรวจสารตกค้างและสุ่มตรวจคุณภาพจากสวนต้นทาง พร้อมกำหนดให้ทุกล็อตสินค้าที่ส่งออกไปจีนต้องแนบผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วย QR Code เพื่อสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้เพียงด้วยมาตรการเฉพาะหน้า แต่ต้องมีการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนในห่วงโซ่การผลิตร่วมกันรักษามาตรฐาน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดจีนและตลาดโลกในระยะยาว

เวียดนาม-มาเลเซียเบียดส่วนแบ่งตลาดทุเรียนไทย

นอกจากปัญหาคุณภาพทุเรียนไทยเองแล้ว ผู้ปลูกทุเรียนไทยในปี 2568 ยังเจอความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดส่งออก โดยเฉพาะการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนให้กับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย

นับตั้งแต่ปี 2565 จีนเริ่มเปิดทางให้เวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าประเทศได้ และในปี 2567 ได้ขยายสิทธินี้ให้กับมาเลเซียด้วย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุเรียนไทยที่เคยครองตลาดจีนเกือบเบ็ดเสร็จ สัดส่วนการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 95% ในปี 2565 เหลือเพียง 68% ในปี 2566 และร่วงลงอีกเหลือเพียง 57% ในปี 2567

เวียดนามมีจุดแข็งด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยและระบบการส่งออกที่มีความยืดหยุ่น ขณะที่มาเลเซียวางตำแหน่งทุเรียนของตนในตลาดพรีเมียม โดยเฉพาะพันธุ์ Musang King ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง

ปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือ ความพยายามของบางกลุ่มในเวียดนามที่ลักลอบนำทุเรียนเข้ามาสวมสิทธิ์ว่าเป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออกต่อไปยังจีน โดยอาศัยภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยที่ได้รับความนิยมสูงกว่าในตลาดจีน ขนิษฐาเตือนว่า หากจีนตรวจพบและเข้าใจผิดว่าเป็นผลผลิตจากไทย จะส่งผลร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือของทั้งระบบส่งออกของไทย

สถานการณ์ยิ่งน่ากังวลเมื่อปลายปี 2567 จีนได้ตรวจพบการปนเปื้อนของสารแคดเมียมและสีต้องห้าม Basic Yellow 2 (BY2) ในทุเรียนเวียดนาม ส่งผลให้จีนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าจากเวียดนาม ซึ่งทำให้ราคาทุเรียนในเวียดนามตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแรงจูงใจให้เกิดการลักลอบสวมสิทธิ์มากขึ้น

ผลกระทบในไทยปรากฏชัด ราคาทุเรียนในประเทศที่เคยแตะระดับ 120 บาท/กิโลกรัมในช่วงต้นฤดูกาล กลับร่วงลงเหลือต่ำกว่า 95 บาท/กิโลกรัมในเดือนพฤษภาคม ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี กระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกรในหลายจังหวัด และตอกย้ำความเปราะบางของทั้งระบบที่ต้องเร่งปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อเสนอทางรอดของทุเรียนไทย: ถึงเวลาปรับโครงสร้างทั้งระบบ

นักวิจัยจาก TDRI ชี้ว่า วิกฤตทุเรียนไทยในปี 2568 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ราคาตกชั่วคราวหรือผลจากปัจจัยเฉพาะหน้า หากแต่เป็น "สัญญาณเตือน" ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการผลิต การควบคุมคุณภาพ และการพึ่งพาตลาดส่งออกที่ไม่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะตลาดจีนที่ไทยยังคงยึดเป็นหลักอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

TDRI เสนอว่า รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร ควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงระบบเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตทุเรียนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ทั้งในด้าน คุณภาพสินค้า และ ความปลอดภัยจากสารตกค้าง ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวในตลาดสำคัญอย่างจีน

ขนิษฐาเน้นว่า ภาครัฐต้องไม่เพียงออกกฎ แต่ต้องมี ระบบตรวจสอบและบทลงโทษที่ชัดเจน หากพบว่าล้งหรือโรงคัดบรรจุใดละเมิดมาตรฐาน เช่น การห้ามส่งออกชั่วคราว หรือการดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมในห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ส่งออก

อีกด้านหนึ่ง รัฐควรสนับสนุนการใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพ เช่น

  • เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้งเพื่อประเมินระดับความสุก
  • เครื่องเอกซเรย์เพื่อตรวจสอบคุณภาพภายในผลทุเรียน
  • ระบบ QR Code สำหรับตรวจสอบย้อนกลับตลอดสายการผลิต

แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความโปร่งใสให้กับห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการผลิตทุเรียนคุณภาพในระยะยาว โดยหากไทยไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการสูญเสียพื้นที่ตลาดในระดับนานาชาติ ให้แก่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งกำลังเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและส่งออกอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้จึงสะท้อนว่าการรักษาความเป็นผู้นำของไทยในตลาดโลกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี ความร่วมมืออย่างเป็นระบบ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ไม่ใช่เพียงการออกมาตรการชั่วคราวหรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ในระยะยาว การฟื้นฟูและรักษาชื่อเสียงของ “ทุเรียนไทย” จะขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศในการยกระดับมาตรฐานทั้งระบบ และปรับตัวภายใต้บริบทการแข่งขันใหม่ในตลาดโลกที่ไม่หยุดนิ่ง


แชร์
ทำไมทุเรียนไทยราคาร่วงหนัก หน้าสวนต่ำกว่า 100 บาท/กก. ดิ่งสุดในรอบ 5ปี