Facebook (Meta), Google, TikTok และ LINE 4 แพลตฟอร์มใหญ่จากต่างชาติที่สร้างรายได้มหาศาลจาก ‘ธุรกิจโฆษณา’ เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้เวลาด้วยหลายชั่วโมง ต่อวัน ในยุคที่การโฆษณาออนไลน์แข่งขันกันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ รายได้ของทั้ง 4 บริษัท เป็นดังนี้
ส่องรายได้ Facebook (Meta), Google, TikTok และ LINE ในประเทศไทย
ข้อมูลจาก Creden Data แพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของประเทศไทย เผยว่า รายได้และกำไรสุทธิของทั้ง 4 บริษัท เป็นดังนี้
- Facebook (Meta)
ชื่อบริษัท : บริษัท เฟซบุ๊ก (ประเทศไทย) จำกัด
รายได้ : 463,832,290 ล้านบาท
กำไร : 5,516,758 ล้านบาท
- Google
ชื่อบริษัท : บริษัท กูเกิล (ประเทศไทย) จำกัด
รายได้ : 1,336,757,244 ล้านบาท
กำไร : 59,268,229 ล้านบาท
- TikTok
ชื่อบริษัท : บริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด
รายได้ : 786,461,757 ล้านบาท
กำไร : 46,907,974 ล้านบาท - LINE
ชื่อบริษัท : บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด
รายได้ : 6,087,554,342 ล้านบาท
กำไร : 71,914,764 ล้านบาท
แบรนด์-นักการตลาดชาวไทย จ่ายเงินกับแพลตฟอร์มไหนเยอะสุด
นอกจากรายได้ - กำไร ของแต่ละบริษัทแล้ว สิ่งที่จะสามารถสะท้อนความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มได้คือ ตัวเลขการใช้จ่ายกับโฆษณา (Ad Spending) ซึ่งจากข้องมูลของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ Digital Advertising Association (Thailand) (DAAT) พบว่า เม็ดเงินที่ธุรกิจ แบรนด์ และนักการตลาดชาวไทยใช้จ่ายบนแต่ละแพลตฟอร์มเป็นดังนี้
- Facebook
ปี 2022 : 8,691 ล้านบาท
ปี 2023 : 8,183 ล้านบาท
เปลี่ยนแปลง : -5.85%
- Google
ปี 2022 : 5,435 ล้านบาท
ปี 2023 : 6,725 ล้านบาท
เปลี่ยนแปลง : +23.74%
- TikTok
ปี 2022 : 840 ล้านบาท
ปี 2023 : 2,048 ล้านบาท
เปลี่ยนแปลง : +143.81%
- LINE
ปี 2022 : 1,633 ล้านบาท
ปี 2023 : 1,474 ล้านบาท
เปลี่ยนแปลง : -9.74%
รายได้โฆษณาเยอะ แต่ไม่ได้เข้าประเทศไทย
คุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอของ TARAD.com ผู้คร่ำหวอดในวงการ Ecommerce ได้ตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลเม็ดเงินโฆษณาที่ไหลเข้าสู่แต่ละบริษัทแพลตฟอร์มยักษ์ในประเทศไทย และข้อมูลรายได้ของบริษัทนั้นจะเห็นถึงความไม่สัมพันธ์กัน บริษัทอย่าง Facebook และ Google ได้รับเม็ดเงินโฆษณาหลักหลายพันล้านบาท แต่กลับรับรู้เป็นรายได้ผ่านบริษัทในประเทศไทยเพียงหลักร้อยล้านบาท หรือพันล้านต้นๆ เท่านั้น ในขณะที่ LINE รับรู้รายได้กว่าหกพันล้านบาทในประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามาจากธุรกิจและบริการอื่นๆ ของไลน์ด้วย
สิ่งที่ตามมาคือ ‘เม็ดเงินภาษีเข้าประเทศที่ไม่เท่ากัน’ บริษัทที่รับรู้รายได้ในประเทศมาก ก็ต้องจ่ายภาษีเข้าประเทศมากเช่นกัน ซึ่งคุณป้อมคาดหวังให้บริษัทที่สร้างรายได้จากประเทศไทยมาก ก็ควรจะเสียภาษีให้รัฐมากเช่นกัน แต่อันที่จริง ข้อได้เปรียบของบริษัทระดับโลกที่มีเหนือกว่าบริษัทขนาดเล็กที่อยู่ในประเทศ คือการบริหารภาษี ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการทำธุรกิจเช่นกัน
หนึ่งวิธีที่บริษัทระดับโลกมักทำ คือการตั้งบริษัทลูกในหลายประเทศ ซึ่งในแต่ละประเทศนั้นจะมีอัตราภาษีนิติบุคคลที่แตกต่างกัน บริษัทแม่จึงอาจรับรู้รายได้ในประเทศต่างๆ มากน้อยต่างกัน เพิ่มการรับรู้รายได้ในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า ลดการรับรับรู้รายได้ในประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่า ก็จะทำให้บริษัทประหยัดภาษีได้
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องการประหยัดภาษีแล้ว ยังมีเรื่องการปฏิบัติตามนโยบายและกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมถึงแนวทางการทำธุรกิจของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกันไป จึงไม่อาจฟันธงได้เต็มที่ว่า การมุ่งประหยัดภาษีให้ได้มากที่สุดจะส่งผลดีต่อบริษัท หรือบริษัทที่รับรู้รายได้มากหรือน้อยในแต่ละประเทศนั้น สะท้อนธรรมาภิบาลของแต่ละประเทศได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ก็เชื่อได้ว่า ภาพในฝันของหลายบรษัท คือการเป็นที่ยอมรับ และรักใคร่ของประเทศปลายทางที่เข้าไปทำธุรกิจ จากประโยชน์ที่บริษัทสร้างไว้ให้กับประเทศนั้นๆ มากกว่าการเข้าไปทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว
ที่มา : Creden Data, DAAT