ธุรกิจการตลาด

GPSCกำไรพุ่ง257 %ไตรมาส1ปีนี้ 1,118 ล้านบาท อานิสงส์ค่าไฟแพงFTสูงขึ้น

9 พ.ค. 66
GPSCกำไรพุ่ง257 %ไตรมาส1ปีนี้ 1,118 ล้านบาท  อานิสงส์ค่าไฟแพงFTสูงขึ้น

ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ มีพายุฤดูร้อนเข้ามาถล่มบางพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าพุ่งกระฉูด 

วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาดูผลการดำเนินงานของบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ เป็นอย่างไร ในภาวะสภาพอากาศร้อนระอุขนาดนี้ 

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. โดยดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และอื่นๆ 

โดยปัจจุบัน GPSC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติแล้วตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) รวมประมาณ 7,727 เมกะวัตต์ ไอน้ำรวมประมาณ 2,858 ตันต่อชั่วโมง น้ำเย็นรวมประมาณ 15,400 ตันความเย็น และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมรวมประมาณ 7,026 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง

ล่าสุด GPSC ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 กำไรพุ่ง 257% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมีกำไรสุทธิ 1,118  ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 804 ล้านบาท และมีรายได้ทั้งสิ้น 27,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยมาจากการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ของงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566  ที่สะท้อนต้นทุนพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ margin ขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสูงขึ้น แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำในกลุ่มอุตสาหกรรมจะลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงของลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสแรก

รวมทั้ง มีกำไรเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันที่มีกำไร และได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท จำกัด (Avaada Energy Private Limited หรือ AEPL) ซึ่งผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานหมุนเวียนชั้นนำในประเทศอินเดีย เพิ่มขึ้น 

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในด้านการขายและบริหารลดลง แม้ว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีลดลงจากปริมาณน้ำลดลงก็ตาม

นายวรวัฒน์   พิทยศิริ    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC กล่าวว่า  “ บริษัทยังคงติดตามราคาพลังงาน ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหินอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในขบวนการผลิต หรือ Optimization และมีการจัดลำดับการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเป็นลำดับแรก เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด รวมทั้ง ยังให้ความสำคัญในการ Synergy เพื่อบริหารจัดการด้านการผลิต ลดต้นทุน และใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน รวมถึงการดำเนินการด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ผ่านมาได้งานโครงการพลังงานโซลาร์ทั้งในและต่างประเทศ เดินหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% ในปี 2573”

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวอยู่ในระดับ 3.6% จากการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน และยังมีปัจจัยสนับสนุนไปถึงการบริโภคของภาคเอกชนที่จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกไตรมาสแรก เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT