มูลค่าส่งออกชิปเซ็ตจากประเทศอาเซียนไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังสหรัฐฯ เริ่มมาตรการกระจายการ outsource การผลิตชิปเซ็ตไปยังประเทศอื่นนอกเหนือจากไต้หวันและเกาหลีใต้ หลังความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าของจีนย่ำแย่ลง
ในเดือนก.พ. ปี 2566 สหรัฐฯ นำเข้าชิปเซ็ตรวมเป็นมูลค่าถึง 4.86 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และชิปเซ็ตจากเอเชียรวมเป็นถึง 83% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดในเดือนนั้น
โดยมูลค่าการส่งออกชิปเซ็ตจากประเทศไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 421.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.43 หมื่นล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นถึง 62.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าส่งออกชิปเซ็ตของเวียดนามไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 74.9% และยอดจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นถึง 697.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า
ในปัจจุบัน ประเทศที่ส่งออกชิปเซ็ตไปสหรัฐฯ มากที่สุดก็คือ ‘มาเลเซีย’ ที่มูลค่าการส่งออกคิดเป็น 20% ของชิปเซ็ตทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าในเดือนนั้น ในขณะที่อันดับ 2 คือ 'ไต้หวัน' ที่ครองสัดส่วน 15.1% และอันดับ 3 คือ ‘เวียดนาม’ ที่ครองสัดส่วน 11.6%
จากการรายงานของ Bloomberg แนวโน้มการเติบโตในมูลค่าการนำเข้าชิปเซ็ตจากประเทศอาเซียนนี้เกิดจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการที่จะลดการพึ่งพาไต้หวันและเกาหลีใต้ในการผลิตชิปเซ็ตลง เพราะมองว่าการพึ่งพาผู้ผลิตต่างชาติเหล่านี้มากเกินไปสร้างความเสี่ยงให้กับสายพานการผลิต ที่อาจจะชะงักลงได้ถ้าหากทางการจีนเข้ามาแทรกแซงการผลิตชิปเซ็ตเพื่อตอบโต้กับสหรัฐฯ เนื่องจากสองเขตเศรษฐกิจนี้มีความใกล้ชิดกับจีนสูง
โดยนอกจากชิปเซ็ตแล้ว บริษัทสหรัฐฯ ยังมีการพยายามย้านฐานผลิตออกมาจากจีน อย่างเช่น Apple ก็ได้เริ่มย้ายการผลิต iPhone ออกจากจีนไปยังอินเดียบ้างแล้ว เพราะมองว่าการปล่อยให้การผลิตสินค้าอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งมากๆ นั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะถ้าประเทศนั้นเกิดความไม่มั่นคงทั้งทางสังคมและการเมืองขึ้น การผลิตจะชะงักไปอย่างมาก อย่างที่ Apple เคยเจอมาแล้วในกรณีประท้วงโรงงานใน Foxconn ที่ทำให้ Apple ผลิต iPhone 14 จัดจำหน่ายไม่ได้ตรงตามเป้า
ที่มา: Bloomberg