ในงานฟุตบอลโลกปีนี้ เจ้าภาพอย่างกาตาร์นอกจากจะสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะชาติอาหรับชาติแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานฟุตบอลโลกแล้ว ยังเป็นชาติที่ทำสถิติใหม่ ด้วยการลงทุนเงินก้อนมูลค่าถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 10.7 ล้านล้านบาท ไปกับการเตรียมสถานที่เพื่อจัดการแข่งขันฟุตบอล
ซึ่งเงินจำนวนนี้ เป็น “จำนวนเงินลงทุนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดบอลโลก” สูงกว่างบประมาณประจำปีของประเทศไทยกว่า 3 เท่า สูงกว่าเงินลงทุนของเจ้าภาพที่ลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 อย่างบราซิลที่ใช้ไปเพียง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 20 เท่า และอันดับ 3 คือรัสเซียที่ใช้ไป 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 27 เท่า
จากข้อมูลของ DW และ Bloomberg ประเทศเจ้าภาพที่ลงทุนไปมากที่สุดกับบอลโลก มีดังนี้
- กาตาร์ เจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลกปี 2022 ลงทุนไปทั้งหมด 10.8 ล้านล้านบาท
- บราซิล เจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลกปี 2014 ลงทุนไปทั้งหมด 5.4 แสนล้านบาท
- รัสเซีย เจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลกปี 2018 ลงทุนไปทั้งหมด 4.2 แสนล้านบาท
- เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลกปี 2002 ลงทุนไปทั้งหมด 2.5 แสนล้านบาท
- เยอรมนี เจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลกปี 2006 ลงทุนไปทั้งหมด 1.5 แสนล้านบาท
จากการรายงานของ Bloomberg กาตาร์ได้ใช้จ่ายเงินก้อนนี้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่นสนามจัดการแข่งขัน สถานที่พัก รวมไปถึงพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมต่างๆ เช่น รถไฟ และสนามบิน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและแฟนบอลที่จะหลั่งไหลเข้ามาชมการแข่งขันฟุตบอลโลกในช่วงวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 18 ธันวาคม
โดยตลอดเวลา 12 ปี นับตั้งแต่ได้เป็นเจ้าภาพบอลโลก กาตาร์ได้ใช้จ่ายไปกับโครงการต่างๆ ดังนี้
- เมือง Lusail รวมไปถึงที่พักและระบบขนส่งต่างๆ ภายในเมือง รวม 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ระบบรถไฟฟ้าเมือง Doha รวม 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- การขยายสนามบิน รวม 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- การสร้างสนามแข่งขัน 7 แห่ง และปรับปรุง 1 แห่ง รวม 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ท่าเรือใหม่ รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- การปรับปรุงสภาพเมือง Doha รวม 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- การสร้างเขตเศรษฐกิจ รวม 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ได้ไม่คุ้มเสียในระยะสั้น แต่อาจได้กำไรในระยะยาว
เมื่อดูจากรายการใช้จ่ายแล้ว จะเห็นได้ว่าการลงทุนเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในครั้งนี้แทบจะเป็นการยกเครื่องเมืองโดฮาซึ่งเป็นเมืองที่กาตาร์ใช้จัดฟุตบอลโลกแบบขนานใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีประเทศไหนต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมตัวจัดงานฟุตบอลโลกในสเกลที่ใหญ่เท่านี้มาก่อน
จนมีผู้วิจารณ์ว่านี่อาจเป็นการลงทุนแบบ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะหลังจากงานฟุตบอลโลกผ่านพ้นไปแล้ว สนามแข่งกีฬาเหล่านี้ก็อาจจะถูกปล่อยร้าง เพราะมันมีจำนวนมากเกินไปสำหรับประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรอยู่เพียงประมาณเกือบ 3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่เป็นการลงทุนที่มากเกินควรเพื่องานแข่งกีฬาครั้งเดียว ในมุมมองของกาตาร์การยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานในครั้งนี้ไม่ได้ทำไปเพื่อจัดงานบอลโลกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่กาตาร์วางแผนจะทำอยู่แล้วใน Qatar National Vision 2030 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับศักยภาพในการจัดงานระดับโลกของประเทศ
นอกจากนี้ ตามข้อมูลของ The Economist ในประวัติศาสตร์การจัดบอลโลก ประเทศส่วนมากที่เป็นเจ้าภาพจัดบอลโลกส่วนมากก็ “ขาดทุน” อยู่แล้ว โดยจากการจัดบอลโลกที่ผ่านมา มีประเทศเจ้าภาพเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ได้กำไรจากการจัดงาน คือ รัสเซีย ที่ได้กำไรไปทั้งหมด 235 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่คิดเป็นเพียง 4.6% ของเงินที่ลงทุนไปเท่านั้น
จึงเรียกได้ว่า ในประวัติศาสตร์การจัดบอลโลกครั้งที่ผ่านๆ มา ประเทศเจ้าภาพต่างๆ ไม่ได้หวังได้กำไรในระยะสั้นอยู่แล้ว หากแต่หวังผลระยะยาวในด้านการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศ รวมไปถึงการนำเสนอ Soft Power ต่างๆ ของประเทศให้นานาชาติรู้จัก ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะช่วยดึงดูดทั้งการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยวเข้ามาในอนาคต
โดยจากการคาดการณ์ของ Oxford Economics การจัดงานฟุตบอลโลกในครั้งนี้ของกาตาร์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นที่ไม่ใช่พลังงาน (non-oil sector) เช่น การท่องเที่ยว ของกลุ่มประเทศรัฐริมอ่าวอาหรับ 6 ประเทศ ประกอบไปด้วย ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กาตาร์ และบาห์เรน ให้เติบโตขึ้น 4.9% ในปี 2022 และ 3.4% ในปี 2023 ตามลำดับ
Oxford Economics ยังระบุอีกว่า non-oil sector ของกาตาร์จะได้รับอานิสงค์จากการงานฟุตบอลโลกมากที่สุดในปีนี้ โดยจะโตถึง 7.6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2015 และทำให้สัดส่วน GDP ของภาคส่วนนี้สูงขึ้นแตะ 63% ในปลายปีนี้ จาก 50% ในช่วง 10 ปีที่แล้ว
ซึ่งการขยายเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันนี้ จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของกาตาร์มีความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะจะทำให้กาตาร์สามารถพึ่งพารายได้จากธุรกิจในภาคส่วนอื่นได้ในเวลาที่ตลาดพลังงานโลกมีการชะลอตัว
ที่มา: Bloomberg, DW, The Economist, Gulf Times