ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นแบรนด์หรูชื่อดังมากมาย ได้หันมาเปิดคาเฟ่ หรือร้านอาหารที่สุดแสนจะเก๋ ด้วยบรรยายการตกแต่งร้านตามสไตล์ DNA ของแบรนด์นั้นๆ อาหารและเครื่องดื่มที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีด้วยโลโก้ของแบรนด์ หรือแม้แต่ชุดของพนักงานเสิร์ฟที่ก็เป็นชุดของทางแบรนด์ อย่างเช่นในไทย มี คาเฟ่ของหลุยส์ วิตตอง Le Café Louis Vuitton ที่ศูนย์การค้าเกษรอัมรินทร์ ซึ่งถ้าเรามองดูจากภายนอกก็จะเห็นความลักชูรี่แบบตะโกนออกมา (ซึ่งข้างในหรูหรายิ่งกว่า)
คำถามก็คือ ทำไมแบรนด์หรูเหล่านี้ถึงหันมาจับตลาด F&B หันมาแห่เปิดคาเฟ่กัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาขายกระเป๋าใบละเป็นแสนคงได้เงินเยอะกว่าการขายกาแฟแก้วละ 400 บาท หรือแม้เป็นคอร์สอาหารละ 5,000 บาท บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาหาคำตอบ
สมัยก่อน กาแฟ อาจจะเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เราตื่นตัวเตรียมพร้อมไปทำงาน แต่ปัจจุบันความหมายของกาแฟเป็นมากกว่านั้น เพราะมันคือตัวแทนของ lifestyle
ยกตัวอย่างง่ายๆ เดี่ยวนี้คนเรากินกาแฟไม่ได้แค่ดื่มอย่างเดียว แต่เรา check in ถ่ายรูป ทำคอนเทนต์ ลง social media และแน่นอนว่าแบรนด์กาแฟที่เราถือสะท้อนถึงสถานะทางสังคมและ lifestyle
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ให้ความสำคัญและแคร์ภาพลักษณ์ของตัวเองในโลกออนไลน์
และแน่นอนว่าสำหรับแบรนด์หรูนี่คือช่องว่างการทางตลาด ที่พวกเขาสามารถเข้าไปอยู่ในlifestyle ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างดีผ่านคาเฟ่สุดเก๋ ที่แม้ว่าจะมีราคาแพงที่แพงกว่าในท้องตลาดแต่พอมันเป็นเรื่อง lifestyle คนรุ่นใหม่ก็ตัดสินใจที่จะพร้อมจ่าย เช่นกาแฟแก้วละ 400 บาท เค้กก้อนละ 500 บาท อาหารที่เป็นคอร์ทเมนูละ 5,000 บาท
หนึ่งในเหตุผลที่ชัดเจนที่แบรนด์หรูหันมาเปิดคาเฟ่ เนื่องจากพวกเขาอยากเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มที่ใหญ่มากขึ้น เพราะก็ต้องยอมรับโดยตรงว่าราคาของแบรนด์หรูในทุกสินค้า มีราคาที่สูงซึ่งคนที่จะมาเป็นกลุ่มลูกค้าของพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีกาลังทรัพย์จำนวนนึง แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายพร้อมเปย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นกลุ่มไซส์ที่ใหญ่
ลองคิดภาพตามดูง่ายๆ กระเป๋าใบละแสน แต่กาแฟนึงแก้วของ Louis Vuitton 500 บาท เป็นคุณคุณจะเลือกอะไร ?
สำนักข่าว CNBC ได้วิเคราะห์ว่า ตอนนี้ เหล่าแบรนด์หรูหันมาจับตลาด F&B มากขึ้นเพื่ออยากให้เชื่อมประสบการณ์ให้แก่ตัวลูกค้าของแบรนด์เอง ที่เดิน shopping เสร็จ มานั่งทานข้าวทานกาแฟต่อได้ ยกตัวอย่างง่ายๆอย่าง LV The Place Bangkok ในประเทศไทย ที่ภายในประกอบไปด้วย
จะเห็นได้ว่าตอนนี้ทางแบรนด์พยายามเสิร์ฟความรู้สึกที่ผู้บริโภครู้สึกเติมอื่มทุกมิติ เพราะสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ จากลูกค้าปกติก็อาจจะมาเป็น royal customer จากกลุ่มที่ไม่เคยเป็นลูกค้าก็อยากจะเปิดใจมาซื้อมาใช้บริการมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของ The State of Luxury ของ McKinsey & Company พบกว่า กำไรในอุตสาหกรรมสินค้าหรูหราเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจากปี 2019 ถึง 2024 รายงานนี้ระบุว่าการเติบโตส่วนใหญ่ประมาณ 80% มาจากการปรับขึ้นราคา ไม่ใช่จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น
และคาดว่าอนาคตของบริษัทสินค้าฟุ่มเฟือยอาจะมีความต้องการน้อยลงเนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ค่อย shopping เท่าคนรุ่นก่อน รวมถึงกลุ่มลูกค้าเอเชียโดยเฉพาะคนจีนก็ซื้อน้อยลง และนี่อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยไม่นับรวมช่วงการระบาดใหญ่ ตามข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาการจัดการ Bain & Company
อ้างอิง : CNBC