
(10 ธ.ค. 2568) เวลา 09.40 น. ที่อาคารรัฐสภา นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณาประชามติ ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 วันนี้ ว่า ตนมองว่าไม่จำเป็นต้องเปิดวิสามัญก็ทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งได้ทัน แต่การเปิดประชุมวิสามัญวันนี้อาจเป็นเพราะทำตามข้อตกลง MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนที่กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จก่อนสิ้นปี ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่มีการแสดงเจตนารมณ์ว่าจะดำเนินการ
นายนิกร ยังกล่าวต่อว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียื่นญัตติเพื่อตั้งคำถามที่ 1 ซึ่งเรื่องนี้ตนพูดมาก่อน 2 เดือนแล้วว่าสามารถทำได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเองก็ได้ระบุไว้ชัดเจน ว่าคำถามการทำประชามติต้องออกโดยรัฐสภาเท่านั้น ฉะนั้นการดำเนินการที่มีการใช้ พ.ร.บ. ประชามติซึ่งมีการนำเสนอกันอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะหากทำจะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
การที่รัฐบาลจะยื่นญัตติเป็นการแสดงท่าทีว่ามีการดำเนินการตั้งคำถาม ซึ่งญัตติดังกล่าวรัฐสภาสามารถพิจารณาได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. โดยประธานจะต้องใช้อำนาจว่าเป็นกรณีที่เกี่ยวเนื่อง หรือสามารถเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติดังกล่าวก่อนหรือหลังที่จะมีการพิจารณาวาระ 3 ก็ได้
ทั้งนี้เมื่อสภามีมติในเรื่องคำถามประชามติแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะพุ่งตรงไปที่คณะรัฐมนตรี ต้องไปออกแล้ว ครม.จะต้องไปออกกฤษฎีกา ทำประชามติไม่น้อยกว่า 60 วันและไม่มากกว่า 150 วัน ซึ่งจะลงวันที่ 29 มี.ค. 2569 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งได้เลยหากมีการยุบสภาตาม MOA
"ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ว่าคำถามที่ 2 จะผ่านการพิจารณาหรือไม่หวังว่าอย่างน้อยเราจะได้คำถามที่ 1 และเลือกตั้ง เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญที่ค่าใช้จ่ายหากเลือกตั้งค่าใช้จ่ายประมาณ 6 พันล้านบาท และทำประชามติอีก 4 พันล้านบาท ถ้าทำกันคนละครั้งจะกลายเป็นหมื่นล้าน แต่ถ้าทำพร้อมกันจะลดค่าใช้จ่ายลง 4-5 พันล้านบาท ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องออกไปลงคะแนน 2 ครั้ง ซึ่งการประหยัดจะเกิดขึ้นได้มาก เรื่องรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องสำคัญแต่เรื่องงบประมาณก็สำคัญเช่นกัน ก็คิดว่าน่าจะดำเนินการไปตามนี้" นายนิกร กล่าว
นายนิกร ยังกล่าวต่อว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 นี้ ตนเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่บ้างในบางมาตราโดยเฉพาะประเด็นที่ยังเห็นแย้งกันอยู่กับกรรมาธิการของวุฒิสภา ซึ่งการพิจารณาต้องใช้เสียงข้างมากเพราะฉะนั้นวุฒิสภาจะไม่ชนะฝั่ง สส. ถ้าสู้กันฝั่ง สว. ไม่ชนะ แต่เมื่อเข้าสู่วาระ 3 จะต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของ สว. ดังนั้นยังมีความล่อแหลมอยู่มากจึงคิดว่าต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง ซึ่งตนเข้าใจทั้งสองฝ่ายหากพูดคุยกันได้ ก็น่าจะมีทางออกที่ดี เพราะโต้แย้งกันไปก็ไม่มีผลอะไร
Advertisement