
สิ้นสุดการรอคอย! มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในค่ำคืนนี้ ณ ราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางผู้ชมที่หลั่งไหลเข้ามาเต็มความจุสนามกว่า 5 หมื่นที่นั่ง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยโชว์ที่ผสมผสาน "ความเป็นไทยร่วมสมัย" และเทคโนโลยีระดับโลก สู่สายตาชาวโลก ต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างอบอุ่น
การแสดงเทิดพระเกียรติ เริ่มต้นพิธีเปิดงานด้วยภาพอันตระการตาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ด้วยการนับถอยหลังอย่างยิ่งใหญ่ จากโดรนหลายร้อยลำที่โบยบินประสานกันเหนือสนามราชมังคลากีฬาสถาน แสงสว่างอันเรืองรอง คือ สัญญาณแห่งการเริ่มต้นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เชื้อเชิญทั่วโลกออกเดินทางร่วมกันในเส้นทาง "สู่จุดเริ่มต้น"
จากบทโหมโรงแห่งแสงนี้ เรื่องราวจะพาทุกคนข้ามผ่านกาลเวลา ย้อนจากปัจจุบันกลับไปสู่ปี พ.ศ. 2502 จุดกำเนิดของการแข่งขัน SEAP Games บนแผ่นดินไทย ผ่านการฉายภาพด้วยโปรเจกชั้นแมปปิ้งขนาดมหึมาที่แปรเปลี่ยนพื้นสมามทั้งผืนให้มีชีวิต ร้อยเรียง 6 ทศวรรษแห่งชัยชนะ อารมณ์ความรู้สึก และความทรงจำร่วมกัน ทุกภาพสะท้อนจิตจิตวิญญาณและความเป็นหนึ่งเดียวที่หล่อหลอมการแข่งขันนี้มานับตั้งแต่วันแรก
เมื่อทุกองค์ประกอบหลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นบทบันทึกที่ซาบซึ้งและทรงพลัง ชวนให้หวนนึกถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ยกย่องรากเหง้าของ SEA Games และเฉลิมฉลองเส้นทางอันยิ่งใหญ่ที่นำพา 11 ชาติกลับมายืนอยู่บนผืนสนามเป็นหนึ่งเดียวกัน...อีกครั้ง
เริ่มต้นด้วยการแสดงโดรนแปรอักษร ส่องสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือสบามราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนแปรขบวนเป็น "ตราสัญลักษณ์ SEA Games Thailand 2025" ที่ผสานพลังแห่งกีฬาเข้ากับศิลปะไทยร่วมสมัยอย่างประณีต เป็นสัญสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของทั้ง 11 ชาติ จากนั้น โดรนแปรขบวนเป็นตัวเลขที่มีความเกี่ยวข้องกับการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ได้แก่
33 - ซีเกมส์ครั้งที่ 33 ประเทศไทย พ.ศ. 2568 ประวัติศาสตร์บทใหม่อันภาคภูมิร่วมกัน
12,506 - จำนวนนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด
50 - จำนวนชนิดกีฬาที่ทำการแข่งขันในซีเกมส์ ครั้งที่ 33
574 - จำนวนเหรียญทองที่ชิงชัยตลอดการแข่งขัน
ONE - แนวคิดหลักของพิธีเปิด นั่นคือ We Are One
Back to the Origin - สารสำคัญของการแสดงนี้
เมื่อการนับถอยหลังสิ้นสุดลง ท้องฟ้ายามค่ำคืนจะสว่างไสวด้วยข้อความ "SAWASDEE SEA GAMES" แทนคำทักทายจากประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียนและผู้ชมทั่วโลก ก่อนที่ภาพจะต่อเนื่องเข้าสู่วีดิทัศน์ "สู่จุดเริ่มต้น" ที่หวนรำลึกถึงจุดเริ่มต้นของ SEAP Games ในปี พ.ศ. 2502 และสายใยแห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ยังคงเชื่อมโยงภูมิภาคนี้ไว้เสมอ
วีดิทัศน์ "สู่จุดเริ่มต้น" พาผู้ชมย้อนเส้นทางซีเกมส์จากปัจจุบันกลับไปสู่ปี พ.ศ.2502 ผ่านภาพเหตุการณ์สำคัญตลอดหลายทศวรรษ รวมถึงภาพประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2502 ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาภาคพื้นแหลมทอง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ SEAP Games วีดิทัศน์นี้ถ่ายทอดพลังแห่งมิตรภาพ ความร่วมมือ และจิตวิญญาณนักกีฬาที่สืบทอดต่อกันมากว่า 60 ปี ก่อนพาทุกคนกลับสู่สนามราชมังคลาฯ เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 33
การแสดงเพื่อจุดประกาย "ไฟในใจ" ที่ขับเคลื่อนนักกีฬาทุกคน ปลูกจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนน ให้ลุกโชน เพื่อให้พร้อมเข้าสู่สนามแข่งขัน ในการแสดงชุดนี้จึงใช้ "ไฟ" เป็นองค์ประกอบหลัก เพื่อสื่อถึง Passion วินัย และความมุ่งมันในการไขว่คว้าความเป็นหนึ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นจิตวิญญาณร่วมของทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การผสานพลังของแสงสี เลเซอร์ และเทคนิคพิเศษเพื่อสร้างเปลวไฟ เนรมิตสนามทั้งผืนให้เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เริ่มตั้งแต่แสงไฟจากชุดนักแสดงที่วาดลวดลายครอบคลุมไปทั่วพื้นสนาม ผสานไปกับเปลวไฟและแสงสว่างที่โอบล้อมรอบอัฒจรรย์ เปลี่ยนทั้งสนามให้กลายเป็นผืนผ้าในที่มีชีวิต ด้วยพลังไฟในใจที่ลุกโชน สะท้อนความเข้มข้น ความกล้าหาญ และหัวใจที่พร้อมทะยานสู่ความเป็นหนึ่ง
"ปลุกพลังสู่การแข่งขัน" คือ การคารวะต่อความมุ่งมั่นของภูมิภาคที่ยืนเคียงข้างกันเป็นหนึ่งเดียว สะท้อนภาพช่วงเวลาที่ไฟในใจกลายเป็นพลัง และพลังนั้นกลายเป็นประกายแรกที่พาเราทุกคนมุ่งสู่ "ชัยชนะร่วมกัน" เป็นหนึ่งเดียว
เริ่มต้นการแสดงด้วยบทเพลง "1%" ขับร้องโดย วิโอเลต วอเทียร์, โต้ง TWOPEE และ กอล์ฟ F.HERO บทเพลงปลุกพลังที่ถ่ายทอด "ความมุ่งมั่นท่ามกลางความเป็นไปไม่ได้" และความเชื่อว่า ต่อให้เหลือโอกาสเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หากหัวใจไม่ยอมแพ้โอกาสนั้นย่อมจุดประกายให้กลายเป็นพลังเต็มร้อยได้
การแสดงถูกถ่ายทอดร่วมกับการฉายภาพลงบนพื้นสนามอย่างตระการตา สร้างอารมณ์ร่วมและยกระดับพลังของสนามให้ก้าวสู่ช่วงต่อไปอย่างฮึกเหิมเปรียบเสมือนประกายไฟดวงแรกที่ปลุก "ไฟในใจนักกีฬา" ให้ลุกโชนพร้อมเริ่มต้นการแข่งขัน
กลุ่มนักแสดงในชุด LED เคลื่อนผ่านสนามอย่างรวดเร็ว สร้างเส้นทางแห่งแสงที่พุ่งทะยานสานกันเป็นตราสัญลักษณ์ SEA Games Thailand 2025 สื่อถึงความมุ่งมั่นที่กำลังก่อตัว และแรงส่งร่วมกันของทั้งสนาม จากนั้น พลังถูกเร่งให้เข้มข้นขึ้นด้วยกลองเดี่ยวอันทรงพลังโดย "เคน วง ZEAL" ประกอบด้วยแดนเซอร์ 50 คน ในชุดที่สื่อถึงเปลวไฟท่วงท่าที่พร้อมเพรียงสร้างภาพของประกายไฟ ชีพจร และ "หัวใจของการแข่งขัน" ที่กำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ไคลแม็กซ์ปะทุขึ้นด้วย "Pyro Finale" ที่ผสานเอฟเฟกต์ไฟจากชุดของนักแสดงเข้ากับเปลวไฟรอบขอบสนามอย่างเร้าใจ ทั้งสนามถูกยกระดับให้กลายเป็นวงแหวนแห่งไฟแพชชั่น "ปลุกพลังสู่การแข่งขัน" ให้ไฟในใจลุกโชน ผลักดันนักกีฬาทุกชาติให้มุ่งสู่ชัยชนะร่วมกัน
การแสดงไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ เฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียวของทั้ง 11 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หลากหลายด้วยอัตลักษณ์ แต่เชื่อมโยงกันอย่างแบบแน่นด้วย "สายน้ำเดียวกัน" โดยมี ประเทศไทย ในฐานะจุดกำเนิดทางประวัติศาสตร์ของกีฬาซีเกมส์ ผู้เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ ร้อยเรียงหัวใจทุกดวงให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
พื้นสนามทั้งผืนแปรเปลี่ยนเป็นภาพอันยิ่งใหญ่ของ "สายน้ำแห่งมิตรภาพ" ผืนน้ำสว่างไสวที่โอบกอดทั้ง 11 ชาติไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน สู่บทสรุปอันตระการตาด้วยการแสดงทางน้ำสุดตื่นตา เริ่มด้วยความงดงามอ่อนช้อยของระบำใต้น้ำ ความเร้าใจของเจ็ตสกีผาดโผน และความท้าทายที่ทะยานสูงของฟลายบอร์ด
ทุกองค์ประกอบร่วมกันถ่ายทอด "จิตวิญญาณที่ไร้ขีดจำกัด" ของเหล่านักกีฬาความมุ่งมั่นที่จะลุกขึ้น ท้าทายทุกขอบเขต และมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน คือการเป็นหนึ่งเดียว
การแสดงที่หลอมรวม "ศิลปะการต่อสู้ 11 แขนง" จากทั่วอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณร่วมของนักกีฬาทุกคน นั่นคือ ความกล้าหาญ วินัย ความแข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ที่จะก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ผสานมัลติมีเดียสเกลใหญ่ทั่วทั้งสนาม ทุกหมัด ทุกท่า และทุกจังหวะการเคลื่อนไหวถูกขยายให้ทรงพลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นคลื่นพลังหนึ่งเดียวอันยิ่งใหญ่ กึกก้อง ประกาศต่อสายตาชาวโลกถึงความแข็งแกร่งที่เชื่อมทั้งภูมิภาคไว้ด้วยกัน นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนจะได้สัมผัสกับความหมายที่แท้จริงของ "ONE SPIRIT"
เปิดฉากด้วยการฉายภาพขนาดใหญ่บนพื้นสนาม เผยภาพ "พิกโตแกรมชนิดกีฬา" อย่างเป็นทางการของการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ครอบคลุมกีฬาทั้งสิ้น 54 ชนิดที่ฬา ได้แก่
ㆍ กีฬาชิงเหรียญ 50 ชนิดกีฬา
ㆍ กีฬาสาธิต 3 ชนิด (กีฬาทางอากาศ ชักกะเย่อ และจานร่อน)
ㆍ กิจกรรมพิเศษ (Special Value-Added Event/Activity) 1 รายการ คือ MMA
พิกโตแกรมในปีนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด "เดอะ สาน" (The Saan) สัญลักษณ์ของความสามัคคีและความมุ่งมั่น ภาษาภาพของ "เดอะ สาน" ทำหน้าที่เชื่อมทุกชนิดกีฬาไว้ภายใต้เอกลักษณ์เดียว สะท้อนว่าความแตกต่างหลากหลายสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกันได้ เช่นเดียวกับ 11 ชาติที่รวมเป็นหนึ่ง นอกจากนี้ แนวคิดเดียวกันยังถูกพัฒนาต่อยอดสู่ "มาสคอตอย่างเป็นทางการ" ของการแข่งขัน ตอกย้ำบทบาทในฐานะสัญลักษณ์ประจำมหกรรมครั้งนี้อย่างชัดเจน
ต่อด้วยการรวม 11 พลังแห่งการต่อสู้ การแสดงเริ่มต้นด้วย 11 กลุ่มนักแสดงทำการแสดงศิลปะการต่อสู้จากภูมิภาคอาเซียนแต่ละแขนงด้วยท่วงท่าที่หนักแน่น แม่นยำ และหยั่งรากจากอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ก่อนประสานแต่ละท่วงท่าเป็น "จังหวะเดียว" ภาพที่ฉายลงบบพื้นสนาม และภาพประกอบบนจอ ช่วยขยายทุกหมัด ทุกก้าวกระโดด และทุกท่วงท่าให้ยิ่งใหญ่ทรงพลัง พาทุกคนดำดิ่งไปสัมผัสกับพลังแห่งการต่อสู้สุดเร้าใจ
ช่วงไคลแมกซ์ของการแสดง "บัวขาว บัญชาเมฆ" ตำนานแห่งศิลปะการต่อสู้ของไทย ก้าวสู่กลางสนาม โดยเริ่มต้นจากพิธี "ไหวัครู" ด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อยแต่แข็งแกร่งอันเลื่องชื่อ ก่อนถ่ายทอดท่วงท่ามวยไทยอันทรงพลัง สื่อถึงความชำนาญ ความเคารพ และหัวใจของนักสู้ที่แท้จริง มุมกล้องแบบภาพยนตร์ ทั้งโดรนและกล้องจากภาคพื้นตลอดจนภาพบบพื้นสนามขนาดใหญ่ที่สะท้อนพลังอย่างต่อเนื่องช่วยยกระดับการปรากฏตัวของเขาให้ก้องกังวานทั่วทั้งสนาม-ประกาศแก่นแท้ของ ONE SPIRIT อย่างเด่นชัด
ตามด้วยเสียงคำรามแห่งความเป็นหนึ่ง พลังของโชว์ถูกเร่งสู่ช่วงสุดท้าย โดย "มีน (ไททศมิตร)" ก้าวสู่สนามพร้อมกีตาร์โซโล่ที่ปลุกเร้าอารมณ์ดุจเสียงคำรามของนักสู้ ที่ดุเดือด แข็งแกร่ง และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ผลานการฉายภาพ Laser Animation กับการออกแบบการแสดงแสงเลเซอร์ที่กวาดผ่านทั้งสนาม ส่งให้ช่วงนี้กลายเป็นภาพแทนของพลังนักกีฬายุคใหม่ ที่เติบโตจากรากเหง้า แต่พร้อมพัฒนา "สปิริตนักสู้" ให้ทะยานข้ามทุกขอบเขต
ค่ำคืนแห่งพิธีเปิด ปิดท้ายอย่างงดงามด้วยการเฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียว ผ่านภาพ "ดอกไม้ประจำชาติของทั้ง 11 ประเทศ" ที่ผลิบานพร้อมกันบนผืนแผ่นดินไทย สะท้อนมิตรภาพที่ค่อย ๆ หยั่งรากและเติบโตงอกงามจากการเดินทางร่วมกันของการแข่งขันตลอดหลายทศวรรษ จนหลอมรวมเป็น "ชัยชนะหนึ่งเดียว" ที่ทั้งภูมิภาคร่วมภาคภูมิใจด้วยบทเพลง "รักหนักแน่น" ในเวอร์ชันออร์เคสตรา ถ่ายทอดความผูกพันอันลึกซึ้ง และความทรงจำล้ำค่าที่ถักทอขึ้นจากซีเกมส์ครั้งนี้ พร้อมย้ำเตือนว่า "ชัยชนะที่แท้จริง" มิได้อยู่เพียงบนโพเดียม หากคือชัยชนะที่เบ่งบานอยู่ในหัวใจของเราทุกคน
มิตรภาพที่ผลิบาน เปิดฉากด้วยการฉายภาพขนาดใหญ่บนพื้นสนาม ถ่ายทอด "ดอกไม้ประจำชาติ" ของทั้ง 11 ประเทศอาเซียน ที่เบ่งบานพร้อมกันทั่วทั้งสนาม สื่อถึงการที่อัตลักษณ์อันหลากหลายสามารถเติบโตงดงามร่วมกัน กลายเป็นสวนแห่งมิตรภาพของภูมิภาค ณ ใจกลางสนาม "ดอกราชพฤกษ์" ดอกไม้ประจำชาติไทยในรูปแบบบบอลลูนเป่าลมขนาดใหญ่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เปรียบดังบทบาทของประเทศเจ้าภาพที่เปิดรับและเชื่อมโยงมิตรประเทศอาเซียนไว้ด้วยกัน เหล่านักแสดงร่ายรำโอบล้อมด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย เสมือนกลีบดอกที่ค่อย ๆ ผลิบานรับแสงแห่งความเป็นหนึ่งเดียว
บทเพลงแห่งมิตรภาพ "รักหนักแน่น" บทเพลงอมตะที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2541 โดยศิลปินระดับตำนานของไทย "เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์" เป็นเพลงที่ผู้คนจดจำในฐานะบทเพลงแห่งความซื่อสัตย์ ความผูกพันและการอยู่เคียงข้างกันอย่างมั่นคง ด้วยจังหวะมาร์ชชิ่งที่สง่างาม จึงเหมาะกับการขับเคลื่อนอารมณ์ในงานเฉลิมฉลองและมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 บทเพลงนี้ถูกเรียบเรียงใหม่เป็นเวอร์ชันออร์เคสตรา ขับร้องโดย "Friends of SEA Games" ทั้ง 7 คน และส่งท้ายด้วยการร่วมแสดงของ "แบบแบม" เวอร์ชันใหม่นี้ยกระดับความรู้สึกของต้นฉบับให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกลายเป็นบทเพลงสรรเสริญความเป็นหนึ่งเดียวและมิตรภาพของอาเซียน ในช่วงการแสดงนี้ "รักหนักแน่น" มิได้เป็นเพียงบทเพลงแห่งความรัก หากคือสัญลักษณ์ของ "จิตวิญญาณร่วม" สัญลัษณ์ของการยืนเคียงกัน การส่งพลังให้กันและการผลิบานร่วมกับเป็น "ชัยชนะหนึ่งเดียว"
The Friends of SEA Games 2025 คือ การรวมตัวของศิลปินและนักแสดงไทย 7 คน ในบทบาท "Sport Ambassadors" ของการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 33 พวกเขาทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนผู้ชมเข้าร่วมชมการแข่งขันในสนามจริง สนับสนุนนักกีฬา และร่วมสร้างบรรยากาศแห่งความสุข ความสามัคคีและความภาคภูมิใจของภูมิภาค การมีส่วนร่วมของพวกเขาสะท้อนพลังของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมใช้ความนิยมและอิทธิพลเชิงบวก ขับเคลื่อนกีฬาไทยและกีฬาอาเซียนให้ก้าวไปด้วยกัน
บทเพลงแห่งความทะเยอะทะยาน Wheels Up โดย แบมแบม คือ บทเพลงแห่งความทะเยอทะยานและพลังใจที่ไม่ยอมแพ้ เพลงนี้เคยถูกนำเสนอผ่านความร่วมมือกับทีมบาสเกตบอลระดับโลก Golden State Warriors และสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการแสดงบนเวที NBA Halftime Show ในฐานะศิลปิน K-Pop คนแรกด้วยเนื้อหาของเพลงที่กล่าวถึงการพุ่งขึ้น เดินหน้าและเชื่อมั่นในชะตาของตนเอง "Wheels Up" จึงสอดรับกับจิตวิญญาณของซีเกมส์อย่างสมบูรณ์พร้อมขับเน้นแนวคิด มิตรภาพ คือ ชัยชนะ ด้วยการพาทุกคนทะยานขึ้นไปพร้อมกันทั้ง 11 ชาติอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นและความภาคภูมิใจร่วมกัน บทเพลงนี้ทำหน้าที่เป็นช่วงพีคที่ปลุกพลังทั้งสนามจุดประกายความหวัง แรงบันดาลใจและจิตวิญญาณอันไม่หยุดยั้งที่ผลักดันเกมการแข่งขันให้เริ่มต้นอย่างอบอุ่น
ช่วงสุดท้าย Friends of SEA Games ทั้ง 7 คนกลับขึ้นเวทีร่วมกับแบมแบม พร้อมเชิญชวนผู้ชมทั้งสนามเปิดแฟลชโทรศัพท์ กลายเป็นทะเลแห่งแสงระยิบระยับ คือ "แสงแห่งมิตรภาพ" ที่ส่องสว่างไปทั่วราชมังคลากีฬาสถาน ภาพนี้ คือ บทสรุปของค่ำคืนนี้ คือ ภาพจำที่สะท้อนความหมายของมิตรภาพ คือ ชัยชนะ อย่างแท้จริง เป็นชัยชนะที่มิได้อยู่เพียงบนโพเดียมหากเบ่งบานอยู่ในหัวใจของทุกคนที่มารวมกัน ณ ที่แห่งนี้
หลังจากนั้นขบวนนักกีฬาทั้ง 11 ชาติอาเซียนทยอยเดินเข้าสู่สนาม โดยมีสาวงามที่ครองตำแหน่งนางงามระดับโลกเป็นผู้ถือป้าย ท่ามกลางเสียงต้อนรับและแสดงความยินดีของผู้คนในสนาม ต่อด้วยการเชิญธงชาติ การกล่าวปฏิญาณตนของนักกีฬา
พิธีจุดไฟการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 สร้างหมุดหมายสำคัญด้วยด้วยแนวคิด "เปลวไฟแห่งความยั่งยืน" การตีความใหม่ของพิธีจุดคบเพลิงในรูปแบบร่วมสมัย ภายใต้วิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของการแข่งขัน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว พิธีการนี้จึงลดการใช้เชื้อเพลิงจริงให้น้อยที่สุด และนำเสนอ "กระถางคบเพลิงดิจิทัล" ที่ส่องผ่านการผสานเทคโนโลยีแสง สี เลเซอร์ โปรเจกชันบนพื้นสนาม และขบวนโดรนประสานอย่างพร้อมเพรียง นี่คือภาพสะท้อนของยุคสมัยใหม่ ที่เคารพรากเหง้าของพิธีการอันทรงคุณค่าควบคู่ไปกับนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เริ่มจากวีดิทัศน์การส่งต่อไฟพระฤกษ์ การเดินทางผ่าน 4 จังหวัดเจ้าภาพ ขบวนวิ่งผลัดคบเพลิงถ่ายทอดการเดินทางของเปลวไฟซีเกมส์ผ่าน กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา และนครราชสีมา รวมระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยมีผู้วิ่งผลัด 292 คน ร่วมส่งต่อเปลวไฟ ซึ่งเป็นสัญสัญลักษณ์ของ
"ความหวัง" และ "ความมุ่งมั่น" จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง โดยมีช่วงแวะเชิงสัญลักษณ์ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อสะท้อนสายสัมพันธ์และความเป็นหนึ่งเดียวของประชาคมอาเซียน "โคมไฟพระฤกษ์" เปรียบเสมือน แสงแรกแห่งการเริ่มต้น ที่ถูกส่งต่ออย่างต่อเนื่อง จนมาบรรจบยังการจุดไฟในพิธีอย่างเป็นทางการ ณ กระถางคบเพลิงในค่ำคืนนี้
ขบวนวิ่งผลัดคบเพลิงสิ้นสุดลง ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดย นายสานนท์ วังสร่างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้เชิญไฟพระฤกษ์ มอบให้แก่ผู้วิ่งคบเพลิงคนแรก
ผู้ถือคบเพลิงคนที่ 1 วารีรยา สุขเกษม หรือน้องเอสที นักกีฬาโอลิมปิกที่อายุน้อยที่สุดของไทยในประวัติศาสตร์ ผ่านการคัดเลือกสู่โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 ด้วยวัยเพียง 12 ปี และเป็นนักกีฬาสเกตบอร์ดทีมชาติไทยคนแรกที่คว้าโควตาเข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิก
ผู้ถือคบเพลิงคนที่ 2 พันโท สมจิตร จงจอหอ แชมป์โอลิมปิกกีฬามวยสากล (ปักกิ่ง 2008) เจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2 สมัย และเหรียญทองซีเกมส์ 3 สมัย
ผู้ถือคบเพลิงคนที่ 3 พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาไทยคนแรกผู้คว้าทองโอลิมปิก 2 สมัย และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกผู้คว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิก 3 สมัย อดีตนักกีฬาเทควันโดหญิง มือ 1 ของโลก ผู้ได้รับเกียรติทำหน้าที่ จุดกระถางคบเพลิง ในพิธีอันทรงเกียรติครั้งนี้
การแสดงที่ตระการตาและสมศักดิ์ศรีเจ้าภาพ ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วทั้งภูมิภาค นี่คือการประกาศความพร้อมอย่างเต็มรูปแบบของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการกีฬาในอาเซียน ไฟคบเพลิงซีเกมส์ที่สว่างไสว ณ กระถางคบเพลิง เป็นสัญลักษณ์ว่าการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอเชิญชวนแฟนกีฬาชาวไทยร่วมติดตามและเป็นส่วนหนึ่งของการชิงชัยเหรียญทองของทัพนักกีฬาทั่วอาเซียนได้ ตั้งแต่วันที่ 9 จนถึง 20 ธันวาคมนี้
Advertisement