(18 ส.ค. 2568) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กลุ่ม "รวมพลังแผ่นดิน" ได้จัดแถลงข่าวเพื่อประกาศจุดยืนและแนวทางเคลื่อนไหวของภาคประชาชนต่อประเด็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะเรื่อง บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา รวมถึงการตรวจสอบบทบาทของรัฐบาลและรัฐสภาในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และการดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง
ภายในงานมีแกนนำและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลากหลายฝ่ายเข้าร่วม ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนักเคลื่อนไหวอิสระ, นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน, นายนิติธร ล้ำเหลือ นักเคลื่อนไหวอิสระ, นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี
นอกจากนี้ กลุ่มรวมพลังแผ่นดินได้ประกาศจัดกิจกรรม "แสดงพลังปกป้องอธิปไตยไทย" ในวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา เพื่อจับตาญัตติด่วนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกี่ยวข้องกับ MOU 43 และ MOU 44 ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นต้นตอของปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ทั้งในพื้นที่ทางบกบริเวณปราสาทพระวิหาร และในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่มีทรัพยากรพลังงานมหาศาล
นายจตุพร กล่าวยืนยันว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มมีการชุมนุมใหญ่ 2 ครั้ง และจะมีการนัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 3 ในอนาคต แต่การชุมนุมวันที่ 21 ส.ค. นี้ ยังไม่ถือเป็นการชุมนุมใหญ่ แต่เป็นการชุมนุมนัดพิเศษ และไม่ได้ไปฉลองวันเกิดให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีวันคล้ายวันเกิดในวันดังกล่าว และไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อรัฐประหาร แต่เป็นการแสดงออกอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและรัฐสภาแสดงความจริงใจในการทำหน้าที่
"เราไปในวันนั้น ไม่ใช่เพื่อป่วนหรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แต่เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองได้ตระหนักว่า MOU 43-44 มีผลกระทบต่อประเทศอย่างแท้จริง และจนถึงวันนี้ ยังไม่มีการอภิปรายทั่วไปในสภาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ปะทะชายแดนหลายครั้ง" นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณี น.ส.แพทองธาร ที่มีการเปิดเผยว่าเคยติดต่อสื่อสารกับผู้นำต่างประเทศอย่างไม่เหมาะสม และมีการตั้งข้อสังเกตถึงการใช้สถานที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์ในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดร้ายแรงในเชิงจริยธรรม
นายจตุพร ยังตั้งข้อสังเกตต่อกระบวนการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ และชี้ว่า แม้ฝ่ายค้านจะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการถือครองทรัพย์สินผิดกฎหมาย การเลี่ยงภาษี และการถือหุ้นสื่อ แต่กลับไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ด้วยเหตุผลเรื่องจริยธรรม ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดทางกฎหมายที่ยังคงเป็นปัญหาในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายพิชิต ระบุว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มในครั้งนี้เกิดจากความกังวลต่อสถานการณ์ที่กระทบต่ออธิปไตยของไทย โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาในอดีต ที่นำไปสู่การลงนามใน MOU โดยไม่มีการนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา
"นี่คือจุดเริ่มต้นของการแสดงพลังจากภาคประชาชน เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU 43-44 และให้รัฐบาลกล้าเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้โดยตรง" นายพิชิต กล่าว
นายนิติธร กล่าวว่า จุดอ่อนของ MOU ทั้งสองฉบับ คือการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการแบ่งเขตแดน ซึ่งไม่มีความแม่นยำทางภูมิศาสตร์และยังไม่มีการรับรองจากรัฐสภา ขัดต่อหลักการตรวจสอบและความโปร่งใส
"การใช้แผนที่ลักษณะนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นที่ชายแดนไทยโดยไม่รู้ตัว เราไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปอีกต่อไป" นายนิติธร กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า คดีของ น.ส.แพทองธาร มีความร้ายแรงกว่าคดีถอดถอนของอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคน เพราะมีความเชื่อมโยงกับการต่างประเทศ และข้อกล่าวหาว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้สถานที่ทางการทูตของกัมพูชาในการจัดตั้งรัฐบาล
"เรื่องนี้ต้องมีการไต่สวนอย่างเปิดเผย และศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันทางการเมือง หากปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย จะเป็นอันตรายต่อระบบประชาธิปไตยในระยะยาว" นายสมชาย กล่าว
ด้าน นพ.วรงค์ ระบุว่า ญัตติที่ยื่นเข้าสภาในประเด็น MOU 43-44 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนควรติดตาม เพราะทั้งสองฉบับเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาเรื่องพลังงานและอธิปไตยของประเทศ
"หากรัฐสภาปล่อยให้มีข้อตกลงระหว่างประเทศโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน เท่ากับละเลยหน้าที่ที่แท้จริงในการปกป้องชาติ" นพ.วรงค์ กล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดไต่สวนคดีจริยธรรมของ น.ส.แพทองธาร ในวันที่ 21 ส.ค. และจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค. นี้ ขณะที่กลุ่มรวมพลังแผ่นดินและภาคประชาชนเตรียมเข้าร่วมกิจกรรมแสดงพลังหน้ารัฐสภาเพื่อกดดันให้เกิดความโปร่งใส
นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ภารกิจของประชาชนในครั้งนี้คือการรักษาอนาคตของประเทศไว้ให้ลูกหลาน ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องออกมาแสดงพลังอย่างสงบเพื่อรักษาอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ ขอเชิญพี่น้องมาร่วมกันในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 10.00 น. หน้ารัฐสภา อย่าปล่อยให้ใครฉวยโอกาสทำร้ายประเทศอีกต่อไป
Advertisement