นายวีรภัทร คันธะ โฆษกกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม แถลงข่าวระบุว่า มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาพูดในฐานะที่เป็นโฆษกกรรมาธิการฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนมากมาย และบางเรื่องเงียบ บางเรื่องไม่ถูกพูดถึง ซึ่งการทำงานในคณะกรรมาธิการฯชุดปัจจุบันมีข้อจำกัดมาก เกิดจากตัวกลไกของคณะกรรมาธิการฯ และในการประชุมคณะกรรมาธิการศาสนาฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตนเชื่อว่า คณะกรรมาธิการฯนี้เป็นคณะที่ประชุมน้อยที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน ถ้าเป็นคณะกรรมาธิการฯอื่นๆ จะมีการประชุม 70 - 90 ครั้ง แต่คณะกรรมาธิการฯชุดนี้มีการประชุมไม่ถึง 50% ดูได้จาก 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีการประชุมไม่ถึง 5 ครั้ง
ดังนั้นปัญหาหลายอย่างจึงถูกหมักหมม ปัญหาหลายอย่างไม่ถูกพูด และเวลาพูดถึงปัญหา บางปัญหาก็มีความพยายาม พูดคุยกันว่าไม่อยากให้แตะต้องเรื่องนี้ นี่เป็นปัญหาที่เราเห็นช้างทั้งตัวอยู่ในห้อง แต่เราไม่กล้าพูดถึง โดยตนเองในฐานะโฆษกกรรมาธิการ เมื่อสื่อมวลชนจะขอความคิดเห็นในฐานะโฆษกกรรมาธิการ ได้รับโทรศัพท์ที่หลากหลาย ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ไม่มีมติจากคณะกรรมาธิการฯ
ในขณะที่ปัญหาใหญ่ที่ควรพูดถึง ก็ไม่ได้ถูกพูดในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ทั้งที่เป็นเครื่องมือของสภาผู้แทนราษฎร ในการระงับข้อพิพาทหรือนำข้อเท็จจริงมาพูด แต่ในที่ประชุมกลับไม่มีพูดถึงปัญหาเลย
อย่างล่าสุดที่วันนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา มายื่นหนังสือร้องเรียน คณะกรรมธิการฯ ถึง ประธานกรรมาธิการและคณะ โดยตรง ซึ่ง ในหนังสือร้องเรียน พูดถึงมี ความคิดเห็น อย่างไร เกี่ยวกับ กรณี สีกากอล์ฟ และพระสงฆ์
โดยตนเองเห็นรายละเอียด ตามข่าวแล้ว และก็พบว่าคณะไม่ขอลงความเห็นในเรื่องนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่กล้าพูดถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมาทั้งที่เราเป็นคณะกรรมาธิการฯที่มีอำนาจโดยตรง การที่ถูกปิดกั้นการพูดถึงการเข้าใจในการเรียกสอบปัญหานี้ กลับไม่ได้รับการพูดถึงเท่าที่ควร
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตนเองมีความรู้สึกอึดอัดมากในการทำงานร่วมกันในการทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการ เสียดายหลายอย่างที่ควรจะขับเคลื่อนได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กลับถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง ปัญหาของเมืองไทยปัจจุบันคือเราไม่คือเราไม่กล้าแตะต้องปัญหาที่เกิดขึ้น และเราก็จะเห็นปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา กรณีพระสงฆ์ กับ สีกากอล์ฟ อาจจะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ใต้ฐานของภูเขาน้ำแข็งก็เห็นอยู่แล้วว่า พระเสพเมถุนกับเด็กผู้ชายทางภาคเหนือ กรณีพระมีข้อพิพาทเรื่องที่ดิน กรณีพระมีการยักยอกเงินวัด เราจะพูดกันแค่เป็นกระแส หรืออยากแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ดังนั้นเป็นคำถามที่ต้องถามกับ สังคมว่าควรทำอย่างไร
"สุดท้ายตอนนี้ ถือว่าเข้ามาดำรงตำแหน่งได้เกือบ 2 ปี ในฐานะโฆษกกรรมาธิการและขอเรียนตามตรงว่าเมื่อไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีเสรีภาพในการพูดถึง ผมขออนุญาตเรียนกับสื่อมวลชนและประชาชนว่า ผมเอง ขอลาออกเพื่อเตรียมตัวในอีก 1 เดือนข้างหน้ามีงานใดที่ยังคงค้างก็จะจัดการให้หมดและจะลาออกจากการทำงาน ในคณะนี้ ทั้งในฐานะโฆษกกรรมาธิการ และหลังจากนี้จะรับเรื่องร้องเรียนพระสงฆ์ ในนาม สส.พรรคประชาชนและพุทธศาสนิกชนที่มีคำถามที่ต้องการตอบ โดยมีเสรีภาพในการพูดถึงปัญหาที่เป็นใจกลางของพระพุทธศาสนาของประเทศไทย" นายวีรภัทร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประธานคณะ กมธ.การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม คือ นางเทียบจุฑา ขาวขำ สส.พรรคเพื่อไทย
Advertisement