“บิ๊กโจ๊ก” ลั่น ผมไม่เอาคืนหรอกครับ แต่ข้อมูลที่ผมมี มีอยู่มากแล้วกัน ถ้าผมเปิดเมื่อไหรละก็ ก็ตายกันหมดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมขอไม่บอกว่าข้อมูลของใคร ย้ำว่าไม่เอาคืนแต่ข้อมูลมีเยอะ และที่ผ่านมาผมทำงานตรงไปตรงมาทุกคดี
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand กล่าวภายหลัง ถูกตำรวจบุกค้นบ้านพัก ภายในซอยวิภาวดี 60 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 66 ว่า จากเหตุดังกล่าว ผมจะไม่เอาคืน แต่มีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ ก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ขอบอกว่าเป็นข้อมูลของใคร ที่ผ่านมาทำงานอย่างตรงไปตรงมาในทุกคดี ซึ่งคดีที่เกี่ยวกับเว็บพนันไปเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ยืนยันว่าเรื่องเงินที่อยู่ในบัญชีไม่มีเงินใครแต่เป็นเงินของบ้านผมทั้งหมด ทุกวันนี้ผมยังรักษาองค์กรอยู่ แต่ก็ยังทำแบบนี้กับผม
โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้อธิบายว่า หลักการขอหมายจับ ถ้าเป็นตำรวจต้องไปขอศาลอาญาทุจริตกลาง แต่ครั้งนี้ที่ไม่ไปขอศาลอาญาทุจริตกลาง เพราะศาลนี้เข้มงวด ยิ่งถ้าเป็นนายตำรวจระดับสูง ยิ่งเข้มงวด เลยไปขอที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนี้ก็ไม่ใส่ยศเวลาขอหมาย สามารถใส่นายนำหน้าชื่อไปได้ ถือเป็นการปิดบังอำพรางหลอกศาล ยัดไส้ชื่อรวมกับพลเรือนไป
ส่วนเรื่องเฮียแต๋ม เจ้าของทาวน์เฮาส์ที่ถูกบุกไปค้นนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เฮียแต๋ม ไม่ตกใจถ้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปสอบถาม เพราะที่ผ่านมาเคยไปให้ข้อมูลกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แล้ว เนื่องจากตนเองยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช. ว่าเช่าที่นี่เพื่ออยู่อาศัย โดยที่มาที่ไป ที่ต้องมาพักที่นี่ เป็นเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ยศร้อยตำรวจ ตนเองอยู่แฟลตตำรวจมาโดยตลอด และตอนที่พ่อตายังมีชีวิตอยู่ ได้ให้ที่ดินที่พุทธมณฑลสาย 7 เพื่อไปสร้างบ้านอยู่ ซึ่งผมได้ออกแบบและดำเนินการสร้างแล้ว ทำให้ต้องมีการย้ายที่อยู่ออกมาก่อนที่บ้านจะเสร็จ ผมจึงหาที่พัก และได้คุยกับเฮียแต๋ม ที่มีความสนิทสนมกันมานานหลาย 10 ปี เพราะทราบว่าเฮียแต๋มมีทรัพย์สินอยู่หลายที่ ผมจึงขอเช่าที่นี่ และก็มีสัญญาเช่าบ้านหลังนี้อย่างถูกต้อง โดยเช่าอยู่ 2 หลัง ในราคา 50,000 บาท และอีก 3 หลัง เฮียแต๋มไม่ได้มาใช้ จึงให้ผมดูแล และผมได้ให้ลูกน้องไปอยู่เวลามาช่วยทำงาน โดยในวันนี้เฮียแต๋มจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนให้ทราบพร้อมกันด้วย
