"ชูวิทย์"แฉอีกอ้างโจรใส่สูทปล้น 1,000 ล้าน หลังแม่บ้านถูกสวมบัตร

16 ส.ค. 66

"ชูวิทย์"โต้ "เศรษฐา" หลังแม่บ้านแจ้งความ‘ถูกสวมบัตรประชาชน’ เพื่อไปกู้เงิน “ ชี้งานนี้แสนสิริและบริษัทลูกไม่ได้ตรวจสอบ หรือแกล้งไม่ได้ตรวจสอบ

หลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้แถลงวานนี้ ( 15 สิงหาคม 2566) ว่า น.ส.พินิช คำยศ ซึ่งอยู่ที่ บ.ดอนหัน ต.นาทอง อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ทำงานเป็นแม่บ้านกู้เงินจากทาง แสนสิริ มา 1,000 ล้าน เพื่อนำไปซื้อที่ทองหล่อ ด้านผู้สื่อข่าวได้พบ นางน้อย คำยศ อายุ 60 ปี แม่ของ น.ส.พินิช ก็ตกใจมากที่ลูกสาวมีข่าวว่ากู้เงินมา 1,000 ล้านบาท ซึ่งลูกสาวกลับมาอยู่บ้านได้ 4-5 ปี แล้ว เงินทองก็ไม่เห็นจะมี ทำนาทำสวนทำไร่ รับจ้างอยู่บ้าน แสนสิริอะไรก็ไม่รู้จัก   

ต่อมาแม่บ้านคนดังกล่าวได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ยืนยัน ไม่ทราบเกี่ยวกับการกู้เงินพันล้าน เผย 5 ปีที่แล้วเคยมาทำงานที่ กทม.แถวจตุจักร แต่ได้กลับไปทำไร่ทำนาอยู่บ้านที่ จ.มหาสารคาม 4-5 ปี แล้ว

ล่าสุดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

แฉโจรใส่สูทปล้น “ให้กู้ 1,000 ล้านผิดคน”

ความจริงเริ่มปรากฏ


เพียงแค่ไม่ถึงวัน น.ส.พินิช แม่บ้าน ที่ผมเอาขึ้นมาแสดงว่าเป็น “นอมินี” ใน บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่มีหุ้นถึง 99.998% คู่กับนายสมศักดิ์ รปภ.ออกมาแสดงตัวว่า “ไม่ได้เกี่ยวข้อง” โดยไปแจ้งความที่ สภ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม


ทั้งที่มีชื่อ มีบัตรประชาชน และได้รับเงินกู้จากบริษัทลูกของแสนสิริ เป็นจำนวนสูงถึง 1,000 ล้านบาท


อันแสดงว่า น.ส.พินิจ “ถูกสวมบัตรประชาชน” เพื่อไปกู้เงิน เพราะในวันที่รับเงินกู้ 1,000 ล้านบาท มีการดำเนินการโดยนายสมศักดิ์ ที่เป็นกรรมการคู่กัน


และปรากฏว่านายสมศักดิ์ รปภ. เป็นผู้เซ็นชื่อทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง (ยังไม่รู้ว่าตัวปลอมอีกหรือเปล่า!)


งานนี้แสนสิริที่เป็นบริษัทมหาชน และบริษัทลูก มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และการซื้อขายที่ดินเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ตรวจสอบ หรือ “แกล้งไม่ได้ตรวจสอบ”?


เพราะเป็นคนนำเช็คเงินกู้จำนวนถึง 1,000 ล้าน ไปให้กับใคร? เข้าบัญชีใคร?


เงินจำนวนไม่น้อย จะอ้างว่าไม่ทราบคงไม่ได้ จะตะแบงอย่างไรความจริงก็จะปรากฏ


ในเมื่อเจ้าของบริษัทออกมาบอกว่า ไม่ใช่ตัวเอง และยืนยันไม่รู้เรื่อง


อย่างนี้มืออาชีพหรือเปล่า?


โดยวันนี้เวลาบ่ายโมง ผมจะไปฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน ข้อหาฟ้องเท็จ ที่ศาลอาญารัชดา


และในฐานะประชาชนผู้ถือหุ้นแสนสิริจำนวน 20,000 หุ้น ได้รับความเสียหายจากการกระทำของแสนสิริ


ผมจะไปแจ้งความที่ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ในวันพฤหัส 10 โมงเช้า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ


นี่เป็น “นิติกรรมอำพราง” อย่างสมบูรณ์แบบ
สวมบัตร ซื้อบริษัท รับโอนหุ้น กู้เงิน 1,000 ล้าน รับเช็คเงินกู้ และจ่ายคืนให้ธนาคาร


นำเงินกู้ที่เหลือไปขายที่ดิน (ใจกลางทองหล่อ) ให้


และโอนหุ้นตัดตอนให้อีกคน โดยหลังจากนั้น
ไม่ส่งงบติดต่อกัน 5 ปี จนกลายเป็นบริษัทร้างในที่สุด


โดยผู้เป็น “เจ้าของบริษัท” มีหุ้น 99.998% ที่ทำนิติกรรมกับ บ.แสนสิริ บ้านอยู่มหาสารคามบอก “ไม่รู้เรื่องเลย”


ที่นี่ไม่ใช่ที่ดินแปลงแรกที่เกิดขึ้น กระบวนการ “ปั่นค่าที่ บวมเงินมัดจำ ตัดตอนบริษัท” ตามที่ผมแฉนั้นยังมีอีกหลายแปลงใจกลางสุขุมวิท


ล้วนมีมูลค่ามหาศาล และใช้รูปแบบเหมือนกัน


โดยผมจะนำเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไปก่อนจะมีการโหวตนายกฯ


หากผมเป็นบริษัทแสนสิริคงกลุ้มใจตาย เพราะคู่สัญญา หรือคนที่ถูกอ้างชื่อเป็นเจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น บอกไม่รู้เรื่อง ไปแจ้งความแล้ว


ถ้าแสนสิริไม่ไปแจ้งความบ้าง ว่าตัวเองให้เงินกู้ 1,000 ล้าน ผิดคน คงผิดปกติ


งานนี้หากผมไม่แฉ ก็คงแกล้งโง่ไปอีกนาน


นี่เป็นกระบวนการ “อาชญากรรมเศรษฐกิจ” ของแท้

 

หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปมีคนเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก ก่อนที่นายชูวิทย์จะแสดงความเห็นใต้โพสต์ของตัวเองเพิ่มเติมว่า " นายเศรษฐาบอกทำงานมา 30 ปี แต่ให้กู้ 1,000 ล้าน ผิดคน เจ้าของบริษัทที่ขายบอก “ไม่รู้เรื่อง” แล้วอย่างนี้จะบอกเป็นมืออาชีพได้ไง? นี่ถ้าเป็นนายกฯ ให้โครงการแสนล้านผิดบริษัท ทำไง?"

ส่วนอีกความเห็นนายชูวิทย์ ระบุว่า "ซวยแล้วว่ะแสนสิริ คนถูกอ้างเป็นเจ้าของบริษัทคู่สัญญาซื้อขาย กู้เงิน 1,000 ล้าน ไปแจ้งความแล้ว ว่าไม่รู้เรื่อง หนักว่ะแสน "

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม