Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เทรนด์ Longevity คืออะไร ทำไมกลายเป็นดราม่ารวย/จน ความเสมอภาคทางสุขภาพ

เทรนด์ Longevity คืออะไร ทำไมกลายเป็นดราม่ารวย/จน ความเสมอภาคทางสุขภาพ

17 ก.ย. 68
15:11 น.
แชร์

เทรนด์ Longevity คืออะไร ? ใครเป็นผู้ริเริ่ม ? การอยากมีอายุที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ทำไมกลายเป็นดราม่าความเหลี่ยมล้ำ "รวยจนเกี่ยวยังไง?" ทำไมเทรนด์ Longevity กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อ "สังคมและเศรษฐกิจ" ในวงกว้าง "ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคลเท่านั้น"

Longevity (ลอง-เจ-วิตี้)

Longevity รากศัพท์มาจากภาษาละติน Longaevitas มีความหมายว่า "ช่วงชีวิตที่ยาวนาน" หรือ "การมีอายุที่ยืนยาว"

คำนี้ถูกนำมาใช้ในภาษาอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1569 และยังคงความหมายดั้งเดิมคือ "การมีอายุยืนยาว" แต่ในบริบทของยุคสมัยใหม่ ความหมายของคำนี้ได้ถูกขยายให้ลึกซึ้งขึ้น โดยไม่ใช่แค่จำนวนปีที่เพิ่มขึ้น แต่รวมถึง "คุณภาพของชีวิตในช่วงเวลานั้น" ด้วย


แก่นแท้ของ Longevity คืออะไร

เทรนด์ Longevity ไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นเท่านั้น แต่หมายถึง Healthspan การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ คือช่วงชีวิตที่เรามีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างปกติสุขจนถึงบั้นปลาย


ในบทความของ นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ ให้คำนิยามของ Longevity คือ "อยู่อย่างมีสุขภาพดี" ดังนี้

  • อายุขัยเฉลี่ย (สีเขียว) 73.2 ปี นั่นคือ อายุตั้งแต่เกิดจนตาย ก่อนตายสภาพแบบไหน เดินปกติ ติดเตียง หาหมอทุกเดือน นับรวมหมด
  • ส่วนสีฟ้า คือ อายุตั้งแต่เกิด ไปจนถึงจุดที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เช่น NCDs ทั้งหลาย
  • ส่วนต่างคือ พื้นที่ลายๆ สีแดง ที่เรียกว่า Healthspan-Lifespan gap คือ ช่วงเวลาที่ยังเหลือ ไปจนสิ้นลมหายใจ

"ก่อนจะไปถึง การถามว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะอายุ 120 ปี สิ่งที่ผมอยากฝาก และพยายามพาทุกท่านที่ติดตามร่วมเดินไปด้วยกัน นั่นคือ "การปิดช่องว่าง" ดังกล่าว เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นของธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น แต่ทำอย่างไร จะไม่เจ็บนาน 9.2 ปี หรือถ้าต้องเจ็บ ก็ให้รบกวนชีวิต ของเราให้น้อยที่สุด จนถึงวันสิ้นลม"

"Gap ของผมกว้างกว่าในภาพมาก เพราะเริ่มความดันสูงตั้งแต่อายุ 38 ปี จนเกิดวิกฤตราวๆ อายุ 40 ปี จึงได้ สำนึก และหาทางพาตนเองให้พ้นจากภาวะดังกล่าว ซึ่งเหมือน เชือกที่พันธนาการเราไว้ วันหนึ่งเมื่อค้นหา ทดลอง แก้เชือกนี้ได้ จึงอยากแนะนำวิธี แก้เชือกนั้น ใครเข้าใจ ทำได้ เชือกนั้นก็จะคลายออก Gap ก็จะสั้นลงบ้าง ตามเหตุปัจจัยที่ผ่านมาของแต่ละคน"

"ดังนั้น สิ่งที่ผมทำอยู่และบอกกล่าวทุกท่านจึงเป็นแนวทางแก้เชือกที่พันมือเราไว้ และไม่กลับไปพันแบบเดิมอีก ส่วนตัวผมไม่เคยคาดหวังการมีอายุยืนยาวมากมาย ในทุกที่ ทุกเวที ทุกกาลโอกาส ท่านผู้ฟังจะได้ยินผมบอกเสมอว่า"

"มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย มีจุดประสงค์" (live a meaningful life) เมื่อครบตามเป้าหมายและความหมายของชีวิตแล้ว การหมดสิ้นลงในชาตินี้ ก็ขอให้ไปตามเหตุและปัจจัยที่ได้กระทำอย่างมีสติแล้ว"

"ส่วนการหมดสิ้นลงจะไป วันและเวลาไหน หรือจบที่อายุเท่าไหร่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ หรือ แม้แต่จะอยากให้ถึง มันก็จะเป็นทุกข์ เพราะ ภาวะตัณหา ดังนั้น สำหรับผม Longevity จึงมีนิยามเพียง "อยู่อย่างมีสุขภาพดี" จนถึงวันสุดท้าย ถ้าจะเจ็บ ก็ขอให้ลำบากตนเองและผู้อื่นให้น้อยที่สุดครับ"


ใครเป็นผู้จุดกระแสเทรนด์ Longevity

ไม่ใช่เพียงใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ริเริ่ม ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นหลังวิกฤตการณ์ต่างๆ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของหลายประเทศทั่วโลก Longevity เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจาก "องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า" ถูกขับเคลื่อนให้เป็นกระแสหลักโดยบุคคลสำคัญหลายกลุ่ม ทั้ง "นักวิทยาศาสตร์ที่สร้างองค์ความรู้", "นักธุรกิจที่นำมาประยุกต์ใช้" และ "ผู้ที่มีชื่อเสียงที่เผยแพร่แนวคิดนี้สู่สาธารณะ"

1. นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย : กลุ่มผู้บุกเบิกด้านชีววิทยาของการชราภาพ

  • มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ทุ่มเททำงานวิจัยในด้านการศึกษาการชราภาพในระดับเซลล์ ซึ่งนี้มานานหลายทศวรรษ เพื่อทำความเข้าใจกลไกของความเสื่อมของร่างกาย เช่น การสั้นลงของ Telomeres, ความเสียหายของ DNA, และการทำงานผิดปกติของ Mitochondria ซึ่งความรู้เหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญของศาสตร์ Longevity
  • Dan Buettner นักสำรวจและนักเขียนชาวอเมริกันที่โด่งดังจากการศึกษาและเขียนหนังสือเกี่ยวกับ "Blue Zones" หรือพื้นที่ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งงานของเขาทำให้แนวคิดการมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยวิถีชีวิตแบบธรรมชาติเป็นที่รู้จักในวงกว้าง


2. นักธุรกิจและผู้ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้

  • Bryan Johnson เป็นหนึ่งในบุคคลที่สร้างกระแส Longevity ให้เป็นที่ฮือฮาที่สุดในปัจจุบัน ด้วยการทุ่มเงินกว่าปีละ 2 ล้านดอลลาร์เพื่อเข้าสู่โปรแกรม "Project Blueprint" ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพในระดับสูงสุดและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยมีทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
  • Dr. David Sinclair นักชีววิทยาด้านการชราภาพและอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เขียนหนังสือขายดี "Lifespan: Why We Age―and Why We Don't Have To" ซึ่งทำให้แนวคิดเรื่องการ "ชะลอวัย" และการใช้เทคโนโลยีเพื่อย้อนวัยเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น


3. Influencers

บุคคลสาธารณะและผู้ที่มีชื่อเสียงที่หันมาใส่ใจเรื่อง Longevity และแชร์ประสบการณ์ของตนเอง ทำให้แนวคิดนี้เข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้มากขึ้น ยกตัวอย่างในประเทศไทย

  • ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอของบิทคับ ที่ลงทุนกับการดูแลสุขภาพแบบ Longevity ผู้ทำคอนเทนต์เดินให้ครบ 1 หมื่นก้าวต่อวัน หรือ สูตรอายุยืน ไม่เสียเงินสักบาท จนต่อมาแตกไลน์ธุรกิจเจาะตลาด Healthcare นำเทคโนโลยีมาช่วยให้มีอายุยืนยาว
  • สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือเป็นที่รู้จักในนามปากกาว่า "นิ้วกลม" ออกมาโพสต์แนวคิดที่มีต่อเทรนด์ Longevity หัวข้อ "Longevity ความหรูหราและภาระ" ที่มีคนแชร์มากถึง 1.9 หมื่นแชร์ (อ่านโพสต์เต็มคลิก)



ดราม่าเทรนด์ Longevity รวย/จน เกี่ยวยังไง ?

เมื่อ "เทรนด์อายุยืนยาว" นั้นครอบคลุมหลายมิติ เกี่ยวข้องกับทิศทางสำคัญสำหรับทั้งธุรกิจและผู้บริโภค

  • ด้านเศรษฐกิจ เกิดตลาดใหม่ที่เรียกว่า "Longevity Economy" ขับเคลื่อนโดยผู้ที่มีกำลังซื้อและมีไลฟ์สไตล์ที่แอ็กทีฟ การลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวเราเองในระยะยาว สำหรับผู้มีเงินพร้อมจ่าย
  • เกิดธุรกิจและบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรวย เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อาหารสุขภาพต่างๆ
  • เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า "สุขภาพที่ดีกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย" (Health is the new luxury) ที่คนรวยมีโอกาสเข้าถึงได้มากกว่าคนจน
  • ด้านการแพทย์เชิงรุก (Preventive Medicine) เน้นการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค ประเมินความเสี่ยงและวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การตรวจพันธุกรรม (Genetic Test) การวิเคราะห์อายุชีวภาพ (Biological Age) และการตรวจหา Biomarkers ที่บ่งชี้ถึงความเสื่อมของเซลล์
  • ด้านเทคโนโลยีสุขภาพ (Wearables & Digital Health) อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ เช่น สมาร์ทวอทช์ ที่ช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับ การออกกำลังกาย หรืออัตราการเต้นของหัวใจ
  • ด้านโภชนาการเพื่ออายุยืนยาว (Longevity Nutrition) , ความงามและสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness & Longevity Beauty) , การปรับวิถีชีวิต (Lifestyle Optimization)
  • ด้านสังคม เมื่อความฝันอยากมีสุขภาพดีและชีวิตที่ยืนยาวกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงแค่เฉพาะคนบาง

ยกตัวอย่าง ประเด็นทางสังคม เรื่องความเหลื่อมล้ำ รวย/จน

1. การเข้าถึง "นวัตกรรมและเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง"

คนรวย

สามารถเข้าถึงการตรวจสุขภาพเชิงลึกในระดับพันธุกรรม (Genetic Test) เพื่อดูความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น Stem Cell Therapy เพื่อซ่อมแซมเซลล์ หรือการบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

คนจน

เข้าถึงได้เพียงระบบการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน หรือประกันสังคม เน้นที่การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้ว ไม่ใช่การป้องกันเชิงรุก ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังสูงกว่า


2. การเข้าถึง "อาหารและโภชนาการ"

คนรวย

เลือกซื้ออาหารออร์แกนิก อาหารเสริมคุณภาพสูง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสมกับร่างกาย

คนจน

มีข้อจำกัดในการเข้าถึงอาหารที่มีประโยชน์ บางครั้งอาจต้องพึ่งพาอาหารแปรรูปราคาถูก ที่มีน้ำตาล โซเดียม และไขมันสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

3. การเข้าถึง "การออกกำลังกายและสภาพแวดล้อมที่ดี"

คนรวย

เป็นสมาชิกฟิตเนสคลับ มีอุปกรณ์ครบครันที่บ้าน จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวดูแล สามารถพักอาศัยในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และมีพื้นที่สีเขียวได้ตามต้องการ

คนจน

มีข้อจำกัดในการเข้าถึงสถานที่ออกกำลังกายที่เหมาะสม สามารถออกกำลังกายในสวนได้ แต่ที่อยู่อาศัยอาจต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว


4. การเข้าถึง "การจัดการความเครียดและการพักผ่อน"

คนรวย

มีโอกาสในการไปพักผ่อนเพื่อลดความเครียดได้บ่อยตามต้องการ มีเวลาในการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ หากิจกรรมยามว่างจุดประกายบแพชชั่นได้ตลอดเวลาสามารถเข้ารับการบำบัดทางจิตใจด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คนจน

ต้องทำงานหนักและใช้เวลานานเพื่อหาเลี้ยงชีพ มีเวลาพักผ่อนน้อย ไม่มีเงินซื้อความสุขเพื่อการท่องเที่ยว หรือหาเงินเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนแล้วกลับมาเป็นหนี้ หาเงินต่อ วนลูป มีแนวโน้มที่จะมีความเครียดสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ


อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อาจเป็นอุปสรรคต่อการอยากมีชีวิตที่ยืนยาวไปพร้อมการมีสุขภาพดี แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน หลายคนที่กำลังซื้อต่ำ แต่สามารถเข้าถึงปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้ ด้วยการดูแลสุขภาพพื้นฐาน "ในแบบฉบับของตนเอง" ที่ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก

Longevity ในแบบที่ทุกคนเข้าถึงได้

การเลือกอาหาร

การเลือกซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาล

การลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูป

ทำอาหารทานเองที่บ้าน ดีต่อสุขภาพและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

การออกกำลังกาย

การเดิน, วิ่ง, ทำกายบริหารในสวนสาธารณะ ล้วนเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพและไม่มีค่าใช้จ่าย

การจัดการความเครียด

การฝึกสมาธิ

การพักผ่อนที่เพียงพอ

การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างในเชิงบวก (เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเครียด)



แต่เมื่อไรก็ตามที่ ร่างกายมนุษย์ต้องพึ่งพานวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงทางการแพทย์ ก็จะเกิด "ช่องว่าง" ความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน วนลูปกลับมา ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลและภาคส่วนต่างๆ ต้องช่วยกันหาทางแก้ไขเพื่อลดช่องว่างนี้ ทำอย่างไรให้นวัตกรรมที่เคยมีราคาสูงสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในอนาคต รวมถึงการสร้างระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการป้องกันโรคเชิงรุกมากขึ้น

สุดท้ายแล้ว เทรนด์ Longevity ความอยากมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว อาจไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคลเท่านั้นอาจรวมไปถึงเรื่องของ "ความเสมอภาคทางสุขภาพ" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องถูกขับเคลื่อนควบคู่กันไป

Advertisement

แชร์
เทรนด์ Longevity คืออะไร ทำไมกลายเป็นดราม่ารวย/จน ความเสมอภาคทางสุขภาพ