ส.อ.ท.ผวาบาทอ่อนแตะ 38 บาท แนะธปท.-คลังหาจุดสมดุลที่เหมาะสม

22 ก.ย. 65

“ส.อ.ท.” ผวาบาทอ่อนค่าแตะ 37 บาทต่อเหรียญฯ หวั่นหลุดต่อไปที่ 38 บาทต่อเหรียญฯ ดันสินค้าขยับราคาเพิ่ม หนุนเงินเฟ้อไทยพุ่งต่อ แนะธปท.-คลังหาจุดสมดุลของค่าบาทที่มองภาพรวมเศรษฐกิจเป็นสำคัญเหตุมีทั้งบวกและลบ เตือนเร่งหานายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริงให้เร็วที่สุด


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 3.00%-3.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (21 ก.ย. )ที่ผ่านมาเพื่อเป็นยาแรงสกัดเงินเฟ้อและส่งสัญญาณที่จะปรับขึ้นอีกต่อเนื่องเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าที่ล่าสุดแตะระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐซึ่งอ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี และมีแนวโน้มอาจทะลุไปแตะ38บาทต่อเหรียญฯ หากรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยังไม่มีมาตรการรองรับที่เพียงพอ ดังนั้นจำเป็นธปท.และคลังต้องหาจุดสมดุลของค่าบาทต่อระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

“ เงินเฟ้อของไทยที่ยังสูงขึ้นทำให้ไทยเองก็ต้องปรับดอกเบี้ยเช่นกันแม้จะทยอยขยับและไม่ได้ปรับมากเช่นเฟดเพราะบริบทต่างกัน แต่ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์คงต้องทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วยเพื่อเป็นตัวหน่วงให้ภาวะเศรษฐกิจในประเทศเกิดความสมดุล ส่วนจะขึ้นดอกเบี้ยเท่าใดที่จะเหมาะสมตนคงตอบไม่ได้ ส่วนกรณีที่มีคนต้องการเห็นค่าเงินที่ 35บาทต่อเหรียญฯเรื่องนื้ทุกคนก็มีสิทธิ เสนอมุมมอง ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐต้องพิจารณาและมองประโยชน์ภาพรวม”นายเกรียงไกรกล่าว

ทั้งนี้บาทอ่อนค่ามีทั้งปัจจัยบวกและลบกล่าวคือปัจจัยบวกจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามบาทที่อ่อนค่าจะส่งผลลบต่อการนำเข้าทั้งวัตถุดิบและโดยเฉพาะต้นทุนพลังงานที่จะต้องปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งต้นทุนทั้งวัตถุดิบ และพลังงานที่สูงจะเป็นแรงกดดันต่อการผลิตสินค้าที่เน้นจำหน่ายในประเทศให้ต้องปรับราคา หน้าโรงงานตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนจะปรับขึ้นเท่าใดก็อยู่ที่แต่ละอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งกระทบให้อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งทะยานขึ้น เป็นลูกโซ่ตามไปด้วย

“ ต้นทุนราคาพลังงานที่สูงขึ้นโดยฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลงหรือแอลเอ็นจีที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเชิ้อเพลิงประเภทอื่นๆ ก็อาจทำให้เราจะได้เห็นค่าไฟฟ้าที่อาจสูงเกิน4.72บาทต่อหน่วยจากในปัจจุบันนี้ แต่อีกมุมก็ส่งผลดีกับการส่งออก และธุรกิจท่องเที่ยวที่หากเป็นเช่นนี้เราอาจได้เห็นนักท่องเที่ยวเข้าในไทยใน10ล้านคนในปีนี้ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ได้”นายเกรียงไกรกล่าว

อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลควรรับมือกับกรณีดังกล่าวอย่างไรนายเกรียงไกรกล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องรีบมีข้อสรุปหรือหาตัวนายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริงให้เร็วที่สุด เพื่อมาบัญชาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

advertisement

Powered by Positioning

คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม

ไลฟ์สไตล์ ล่าสุด