
ท่ามกลางการหลั่งไหลของการลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย เพื่อขับเคลื่อนการปฏิวัติ AI และคลาวด์ แต่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของรัฐกลับกำลังเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องการน้ำในปริมาณมหาศาลเพื่อหล่อเย็นเซิร์ฟเวอร์ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและภัยแล้งซ้ำซาก
รัฐยะโฮร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของมาเลเซีย กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการหลั่งไหลของการลงทุนด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Microsoft, Nvidia, และ ByteDance กำลังทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนโรงหล่อดิจิทัลที่เป็นรากฐานของอุตสาหกรรม AI และระบบเศรษฐกิจคลาวด์ระหว่างประเทศ จนเชื่อกันว่ารัฐยะโฮร์จะเป็นเหมือน ‘ซิลิคอนวัลลีย์’ แห่งใหม่ของอาเซียน
รัฐบาลมาเลเซียมุ่งมั่นที่ขึ้นมาเป็นผู้นำในเวทีการแข่งขันด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างก้าวกระโดด โดยพยายามดึงดูดบริษัทระดับโลกเหล่านี้มาลงทุนในรัฐยะโฮร์ แต่สำหรับประชาชนในรัฐยะโฮร์ มูฮัมหมัด อัซเรียน โมฮัมหมัด อาลี วัย 35 ปี กลับกังวลกับโครงสร้างพื้นฐานที่อาจกระทบกับชีวิตประจำอย่าง ‘น้ำประปา’ ว่า จะมีให้ใช้เพียงพอหรือไม่ หากสร้างซิลิคอนวัลลีย์เต็มรูปแบบในบ้านเกิดของเขา
มูฮัมหมัด อัซเรียนเล่าให้ฟังว่า “ปีนี้เขาเจอกับเหตุการณ์ที่น้ำประปาไม่ไหลถึง 3 ครั้ง แม้ปริมาณน้ำยังคงเพียงพอ แต่ตอนนี้น้ำประปามีให้ใช้น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก” อีกทั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประชาชนราว 1,000,000 คนยต้องเผชิญกับภาวะน้ำประปาไม่ไหล หลังเกิดมลพิษทางน้ำ ที่ทำให้โรงบำบัดน้ำหลายแห่งตามแม่น้ำยะโฮร์ต้องหยุดดำเนินการ สะท้อนวิกฤตภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากในรัฐยะโฮร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งในมาเลเซีย
สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นได้สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อระบบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำ ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ หรือ ‘ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่’ ที่ใช้รองรับระบบAI และคลาวด์ จะต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาลในการหล่อเย็นเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง
นั่นหมายความว่าน้ำประปาที่ประชาชนใช้บริโภคจะต้องถูกดึงไปใช้ในซิลิคอนวัลลีย์แห่งนี้ แน่นอนว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ก๊อกน้ำแห้งสนิทหรือไหลกระปริบกระปรอย แม้แต่ในพื้นที่อย่าง Eco Botanic City ในเมืองอิสกันดาร์ ปูเตอรี ซึ่งมีความมั่นคงทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และไม่ค่อยเกิดภาวะน้ำไม่ไหลมาก่อน
ในบริเวณใกล้เคียงอย่าง Nusajaya Tech Park มีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 8 แห่ง ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ทำหน้าที่ประมวลผลการรับส่งข้อมูลดิจิทัลทั่วโลก แต่ก็ดึงน้ำจากแหล่งน้ำในพื้นที่ไปในอัตราที่น่าตกใจ
ปัจจุบัน ยะโฮร์เป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูล 47 แห่ง ทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตามการประมาณการของรัฐบาล สถานที่เหล่านี้ต้องการน้ำประมาณ 675 ล้านลิตร (178.3 ล้านแกลลอน) ต่อวัน เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ร้อนเกินไป หาเทียบเท่าให้เห็นภาพ ปริมาณน้ำต่อวันที่ใช้ เท่ากับการเติมน้ำเข้าสระว่ายน้ำที่ใช้แข่งโอลิมปิกได้ถึง 270 สระ
แม้สัญญาณเตือนภาวะขาดแคลนน้ำจะน่าเป็นห่วงขนาดนี้ แต่เเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน Microsoft ได้ประกาศว่า เมืองยะโฮร์บาห์รูจะเป็นที่ตั้งของ "เขตคลาวด์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3" (Southeast Asia 3 cloud region) แห่งใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่กำลังขยายตัว
นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การพัฒนานี้อาจทำให่วิกฤตน้ำในยะโฮร์เลวร้ายลง มลพิษในแม่น้ำและการขุดลอกคลองได้คุกคามแหล่งน้ำดื่มสำหรับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นี้ ซึ่งมีประชากรราว 1,700,000 คน
มูฮัมหมัด ชาคิบ บิน ซาริลนิซาม นักวิเคราะห์การเงินเพื่อการอนุรักษ์ กล่าวว่า "หากไม่มีการจำกัดและติดตามที่เหมาะสม ผลกระทบอาจตกอยู่กับผู้อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำเดียวกัน"
ทั้งนี้ การเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลที่ยะโฮร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับแรงหนุนจากบริษัทสิงคโปร์ที่พยายามย้ายฐานการลงทุนทางเทคโนโลยีมาที่นี่ เพราะมองว่าการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในสิงคโปร์นั้น ใช้ทรัพยากรมากเกินไป โดยในปี 2019 สิงคโปร์ได้สั่งระงับการพัฒนาศูนย์ข้อมูลใหม่ โดยอ้างถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้พลังงานและน้ำ แม้ว่าการระงับจะถูกยกเลิกในปี 2022 แต่ก็ยังมีการควบคุมที่เข้มงวด
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านความโปร่งใสในการสร้างฐานการลงทุนทางเทคโนโลยีในรัฐยะโฮร์ด้วย นายมูฮัมหมัด ชาคิบ เรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐและผู้พัฒนาเผยแพร่ข้อมูลการบริโภคและเปิดเผยการจัดสรรน้ำ และ Microsoft ยืนยันว่า ศูนย์ข้อมูลแห่งล่าสุดที่ของบริษัทจะใช้ระบบหล่อเย็นที่ประหยัดน้ำ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน พร้อมด้วยโครงการริเริ่มอื่น ๆ เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนและการจัดหาน้ำสะอาดให้กับโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม ความกังขาต่อความสามารถของรัฐบาลในการรองรับทั้งการบริโภคของศูนย์ข้อมูลและประชาชนยังคงมีอยู่ ด้านคณะกรรมาธิการบริการน้ำแห่งชาติมาเลเซียได้ส่งสัญญาณเตือนภัยแล้ว โดยในเดือนสิงหาคมได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลหันไปใช้แหล่งน้ำทางเลือก เช่น น้ำรีไซเคิล น้ำฝน หรือน้ำทะเลที่ผ่านการแยกเกลือ เพื่อลดแรงกดดันต่ออุปทานสาธารณะ
จากศูนย์ข้อมูล 101 แห่ง ทั่วรัฐสลังงอร์, เนกรี เซมบีลัน, และยะโฮร์ มีเพียง 18% ของคำขอจัดหาน้ำเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่สามารถรองรับน้ำให้กับศูนย์ข้อมูลได้เพียง 142 ล้านลิตร (37.5 ล้านแกลลอน) ต่อวันเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าความต้องการที่สูงถึง 808 ล้านลิตร (213.5 ล้านแกลลอน) อย่างมาก โดยยะโฮร์เพียงรัฐเดียว ต้องการใช้น้ำเกือบ 90%
การเติบโตอย่างรวดเร็วของมาเลเซียในฐานะศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การลงทุนด้านเทคโนโลยีทั่วโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และได้สร้างงานที่มีมูลค่าสูงกว่า 2,300 ตำแหน่ง ในยะโฮร์ และยังมีการลงทุนจากต่างชาติ ทุ่มเม็ดเงินมหาศาล ดังนี้
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์เติบโตขึ้น100 เท่า ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย DCByte โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตเกิน 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายไฟให้กับบ้านเรือนมากกว่า 1,000,000 หลัง แม้ว่าทางการจะกล่าวว่า แนวทางใหม่กำลังบังคับให้ผู้ประกอบการลดการใช้น้ำและใช้แหล่งน้ำที่ไม่ใช่น้ำดื่มสำหรับหล่อเย็น แต่ผู้รณรงค์เตือนว่า ระบบนิเวศวิทยานั้นกำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว