
หลังสถานการณ์ริมชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง จากการที่มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 2 นาย โดยหนึ่งในนั้นมีอาการข้อเท้าขวาขาด
ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ออกมาประกาศระงับทุกการดำเนินการตามข้อตกลงในถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา และมติสมช. ก็เห็นชอบกับการระงับข้อตกลงเหล่านั้นไปก่อน จนกว่ากองทัพไทยจะเห็นว่ากัมพูชาไม่มีท่าทีปฏิปักษ์แล้ว
Spotlight พูดคุยกับรศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงสถานการณ์ชายแดนกัมพูชาที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และไทยควรจะวางนโยบายต่อไปเช่นไร?
อาจารย์ดุลยภาคมองว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะโจมตีหรือเผชิญหน้ากับกัมพูชาได้ เพราะกัมพูชาใช้ระเบิดก่อน ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ไทยก็มีสิทธิจะตอบโต้กัมพูชา เพียงแต่จะต้องกำหนดขอบเขตให้มีความเหมาะสม
โดยแนะนำว่า นี่คือโอกาสอันเหมาะสมหากไทยคิดจะทวงปราสาทตาควายคืน หรือสร้างเส้นปฏิบัติการทหาร 1 ต่อ 50,000 เพราะกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามที่กัวลาลัมเปอร์ก่อน หากไทยไม่ทำอะไร เราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากการที่ไทยกุมพื้นที่รอบ ๆ แม้จะสง่างามในกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราอาจเสียพื้นที่ไปจริงในกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องไปยังศาลโลก และส่งทหารไปประจำการอยู่ในปราสาท การที่เกิดภาพเช่นนั้นจะทำให้ทางกัมพูชาได้เปรียบ
อาจารย์ดุลยภาคยังแนะนำว่า ไทยควรเพิ่มพลังอำนาจแห่งชาติ ทั้งทางทหารและทางการทูต เพื่อให้กัมพูชาลดและสิ้นสภาพการคุกคาม เพราะหัวใจสำคัญของการสร้างสันติภาพคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นสันติภาพบนความยุติธรรม หากเป็นสันติภาพที่ทหารไทยขาขาดตลอด ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ยุติธรรมมั้ย? หรือหากมีสันติภาพ แต่กัมพูชาปล่อยข่าวปลอมและโจมตีประเทศไทยตลอด หรือสหรัฐฯ กดให้ไทยเท่ากับกัมพูชา โดยมีแนวโน้มขายเอฟ 16 มือสองให้กัมพูชาด้วย ก็กลับมาที่คำถามเดิมว่า มันยุติธรรมกับไทยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยควรสำแดงพลังอำนาจ แต่ก็ต้องไม่ทำเกินขอบเขต สาธิตให้ต่างชาติเห็นว่า ไทยสามารถเคลียร์ทุ่นระเบิดออก และสร้างสวนสันติภาพที่ชายแดนได้ โดยดำเนินการตามกรอบการปกป้องประเทศตามมาตรฐานสากล และจริยธรรมระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อกลับมาตึงเครียดอีกรอบ ประเทศไทยควรใช้การทูตนำการทหาร? หรือการทหารควรนำการทูตดี? อาจารย์มองว่า การทูตและการทหารนั้น สามารถพลัดกันนำ พลัดกันหนุน หรือบางทีไปด้วยกันก็ได้ โดยการทหารจะสัมฤทธิ์ผล ก็ต้องมีเครื่องมือทางการทูต เช่น กระทรวงต่างประเทศของไทยต้องไปอธิบายต่างชาติบ้างว่าไทยถูกรังแก และสั่งสอนกัมพูชาตามสัดส่วนที่เหมาะสม เมื่อการทหารทำหน้าที่หมดแล้ว คือกัมพูชาลดการคุกคามแล้ว นั่นก็จะเป็นเวลาที่การทูตเดินนำทางทหารได้