เม็งฮุน เคียง นักข่าวชาวกัมพูชาหัวนอกเขียนบทความหัวข้อ “Why So Many Cambodians Travel Abroad For Medical Care” หรือแปลเป็นไทยว่า “เหตุใดชาวกัมพูชาจำนวนมากถึงเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรักษาพยาบาล” เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ปีนี้ หลายเดือนก่อนที่จะเกิดเหตุปะทะรุนแรงตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเธอเริ่มต้นเขียนถึงประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อสองปีก่อนที่คุณแม่ของเธอตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง
ในบทความดังกล่าวระบุไว้ว่า “เมื่อสองปีก่อน แม่ของฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับ แพทย์บอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามและไม่สามารถผ่าตัดได้ การวินิจฉัยโรคของแม่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ สองเดือนก่อนหน้านี้ ฉันพาเธอไปโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังสองแห่งในกรุงพนมเปญ หลังจากที่เธอบ่นว่าเบื่ออาหาร มีคราบเหนียวๆ หนาๆ เคลือบลิ้น และอ่อนเพลียอย่างมาก หลังจากการตรวจและปรึกษา รวมถึงเอกซเรย์ทรวงอก แพทย์ก็ให้ยาต้านเชื้อราแก่เธอและส่งเรากลับบ้าน พวกเขาบอกว่าไม่พบอาการที่น่ากังวลใดๆ แต่อาการอ่อนเพลียของเธอยังคงอยู่ และน้ำหนักของเธอกำลังลดลง เราจึงตัดสินใจพาเธอไปที่กรุงเทพฯ ซึ่งการสแกน CT พบเนื้องอกขนาดใหญ่ 8.4 เซนติเมตรในตับของเธออย่างรวดเร็ว”
ความผิดพลาดในการวินิจฉัยเช่นนี้ เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมาก แสวงหาการรักษาในต่างประเทศ และนอกจากความผิดพลาดในการตรวจโรคแล้ว ความผิดพลาดในการรักษาก็ได้สร้างความไม่สบายใจใหกับประชาชนชาวกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2566 หญิงวัย 22 ปีเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน หลังจากลำไส้เล็กของเธอถูกผ่าตัดออกโดยไม่ได้ตั้งใจแทนที่จะเป็นสายสะดือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่คลินิกเอกชนในจังหวัดกำปงสปือ
การแสวงหาบริการด้านสุขภาพในต่างประเทศยังได้รับแรงผลักดันจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา และความสะดวกในการเดินทางในภูมิภาคผ่านกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการยกเว้นวีซ่า
ชาวกัมพูชาที่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อรับการรักษาพยาบาลมีฐานะทางการเงินที่หลากหลาย เศรษฐีจำนวนไม่มากเดินทางไปสิงคโปร์หรือประเทศรายได้สูงอื่นๆ เพื่อเข้ารับการรักษาระดับโลก ส่วนผู้ที่มีฐานะทางการเงินต่ำกว่าจะไปไทยและเวียดนาม ส่วนผู้ป่วยโรคร้ายแรงบางรายที่ยากจนกว่าต้องเดินทางไกลเพื่อเดินทางไปถึง หลายคนต้องก่อหนี้เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลมหาศาล
นักข่าวชาวกัมพูชาคนนี้ยังแชร์ประสบการณ์การพาคุณแม่มารักษาโรคมะเร็งในกรุงเทพฯ เธอเขียนว่าเธอได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วยชายชาวกัมพูชาอายุ 62 ปี ที่พักอยู่ที่โรงแรมเล็ก ๆ ที่เดียวกับแม่ของเธอ เขาเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อรักษาอาการปวดหลัง และบอกว่าเขาเชื่อมั่นในระบบการแพทย์ของไทยมากกว่าของกัมพูชา
ผู้หญิงอีกคนที่โรงแรมบอกว่า เธอกำลังรอผลตรวจก้อนเนื้อที่คอและไปเยี่ยมคุณป้าผู้สูงอายุที่กำลังผ่าตัด ในแต่ละวันจะมีชาวกัมพูชาประมาณ 10-15 คนมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ ซึ่งพนักงานโรงแรมก็ได้เรียนรู้การพูดภาษาเขมรและมีป้ายเขียนเป็นภาษาเขมรด้วย และบางคนพักอยู่นานถึงสองสามสัปดาห์ระหว่างที่รับการรักษาพยาบาล
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่าในปี 2566 มีชาวกัมพูชาประมาณ 200,000 ถึง 250,000 คนที่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ หนังสือพิมพ์อีกฉบับประเมินว่า ชาวกัมพูชาที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยและเวียดนามระหว่างปี 2558 - 2559 มากถึง 30% เข้ารับการรักษาพยาบาล และยังอ้างอิงถึงหนังสือพิมพ์ไทยเมื่อปีที่แล้วว่า โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 30% เป็นชาวกัมพูชา และในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2567 ผู้ป่วยชาวกัมพูชาใช้จ่ายประมาณ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
แม้ว่าการแสวงหาการรักษาพยาบาลในต่างประเทศจะเป็นทางเลือกของผู้ป่วย แต่ชาวกัมพูชาจำนวนมากที่มีโรคร้ายแรงรู้สึกว่า ตนไม่มีทางเลือกที่เชื่อถือได้สำหรับการดูแลที่มีคุณภาพที่บ้าน หลายคนต้องการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพดีและราคาไม่แพงในประเทศของตนเอง เพราะการรักษาในต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายสูงและมีความยุ่งยากด้านการเดินทาง ยกตัวอย่างเช่น ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี การสแกน MRI สำหรับผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 26,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหาร ค่าเดินทางภาคพื้นดิน และบริการล่าม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการตรวจ MRI อาจสูงถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และเมื่อไปพิจารณาในภาพรวม GDP ต่อหัว ของกัมพูชา อยู่ที่ 1,917 ดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2566
ชาวกัมพูชาในวัยสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นต้องเผชิญกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลรักษา ในปี 2562 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 9% ของประชากรกัมพูชา ซึ่งเพิ่มขึ้น 60% จากปี 2551 ประชากรกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 23% ของประชากรกัมพูชาทั้งหมดภายในปี 2593 (ปี ค.ศ. 2050)
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา พบว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน และอาจ “ทำให้ความยากจนรุนแรงขึ้นและคุกคามเป้าหมายการพัฒนาอื่นๆ ของกัมพูชา”
ชาวกัมพูชาแทบทุกคนที่อายุมากกว่า 50 ปีเป็นผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง ส่วนใหญ่ไม่มีประกันสุขภาพและหลักประกันทางสังคม จากการสำรวจข้อมูลประชากรและสุขภาพกัมพูชา พ.ศ. 2564-2565 พบว่า มีผู้หญิงเพียงร้อยละ 22 และผู้ชายร้อยละ 13 ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 49 ปีเท่านั้นที่มีประกันสุขภาพ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีเงินออมและต้องพึ่งพาลูกหลานที่เป็นผู้ใหญ่ในการดูแล
จากงานวิจัยท้องถิ่นพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามราว 76% รายงานว่าไม่มีรายได้และต้องพึ่งพาลูกหลานเพียงอย่างเดียวในการดูแลสุขภาพ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เก็บจากกลุ่มประชากรชาวกัมพูชาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดกำปงและตาแก้ว และสุ่มตัวอย่างมา 50 ราย
จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพและความเสมอภาคของระบบสาธารณสุขในอาเซียน ในระดับชาติพบว่ากัมพูชามีคะแนนประสิทธิภาพต่ำที่สุด ในด้านความเสมอภาคของระบบสาธารณสุข สิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย มีความเสมอภาคในการกระจายทรัพยากรสาธารณสุขทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์ กัมพูชาตั้งอยู่ใกล้กับเมียนมาร์และลาว และมีปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ และความไม่สมดุลในการกระจายทางภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์