สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังเปราะบาง แม้จะมีการหยุดยิงภายใต้การเจรจาร่วมกัน แต่ในความตึงเครียดนี้มีคลื่นแรงงานกัมพูชาจำนวนมากทยอยเดินทางกลับบ้าน เหตุผลของการกลับไม่ใช่เพียงเพราะสถานการณ์ความขัดแย้ง แต่ยังมีแรงกดดันซ้อนกันหลายชั้น ทั้งแรงกดดันจากครอบครัวที่ถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเร่งรัด คำขู่ถอนสัญชาติหรือยึดที่ดินหากไม่กลับบ้านภายในกำหนด ข่าวลือว่ารัฐบาลเตรียมลงโทษผู้ที่ยังอยู่ในไทย และความกลัวว่าจะถูกทำร้าย
แรงงานกัมพูชาส่วนหนึ่ง กังวลกับการเดินทางกลับบ้านเพราะไม่รู้ชะตากรรมว่า กลับไปแล้วจะประกอบอาชีพอะไร ? รายได้ที่เคยทำงานจากประเทศไทยหายไปส่งผลกระทบกับหลายครอบครัวกัมพูชา
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานกัมพูชาระบุว่า ก่อนเหตุปะทะในเดือนมิถุนายน มีแรงงานกัมพูชาราว 1.2 ล้านคนทำงานในไทย แต่ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ตัวเลขผู้กลับประเทศพุ่งขึ้นอย่างน้อย 780,000 คน หรือราว 65%
ข้อมูลสอดคล้องกับการประเมินของ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ที่ระบุว่าในปี 2567 ไทยมีแรงงานกัมพูชาทั้งในระบบและนอกระบบราว 1.25 ล้านคน กระจายอยู่ใน 3 ภาคเศรษฐกิจหลักๆคือ
แรงงานกลุ่มนี้คิดเป็น 20.8% ของแรงงานทั้งหมดในไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ดร.อัทธ์ชี้ว่า แรงงานกัมพูชา มีส่วนในการช่วยสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยคิดเป็น 5.2% ของ GDP หรือราว 935,000 ล้านบาทต่อปี โดยภาคบริการมีสัดส่วนสูงที่สุดกว่า 700,000 ล้านบาท รองลงมาคือก่อสร้างราว 190,000 ล้านบาท และเกษตรราว 45,000 ล้านบาท
การที่แรงงานกัมพูชากลับประเทศกัมพูชาจะส่งผลกระทบต่อ GDP ไทย 5.3% ถึง 8.8% โดยภาคบริการอื่น จะได้รับผลกระทบมากที่สุดรองลงมาคือ ก่อสร้างและเกษตรกรรม ตามลำดับ ผลกระทบต่อเดือนอยู่ระหว่าง 19,498 – 32,496 ล้านบาท หรือ 233,000–389,000 ล้านบาทต่อปี
ภาคบริการจะเป็นผู้รับแรงกระแทกมากที่สุด เพราะต้องใช้แรงงานจำนวนมาก หลายงานคนไทยไม่ค่อยเลือกทำ รองลงมาคือภาคก่อสร้างที่ต้องใช้แรงงานหนัก และภาคเกษตรที่อาจเผชิญปัญหาขาดแรงงานในช่วงเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อทางฝั่งกัมพูชาก็หนักเช่นกัน เพราะแรงงานจำนวน 3-5 แสนคนที่กลับประเทศกัมพูชา ไม่มีตำแหน่งว่างงานรองรับในกัมพูชา จะสร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อผู้นำของกัมพูชาด้านเศรษฐกิจเพราะกระทบต่อรายได้แรงงานกัมพูชาที่หายไปเดือนละ 3,000-5,000 ล้านบาท หรือปีละ 36,000 – 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบ GDP ของกัมพูชาลดลงเช่นกัน อยู่ที่ 3-4% ของ GDP กัมพูชา และกระทบครัวเรือนยากจนที่มีภาระหนี้สินโดยตรง
ปรากฏการณ์แรงงานกัมพูชากลับประเทศครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนแค่ความเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในภาวะความขัดแย้ง แต่ยังเผยให้เห็นช่องโหว่ของโครงสร้างแรงงานและความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก หากไม่เร่งหาทางปรับตัว ปัญหานี้อาจกลายเป็นปัญหาในระบบเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวยากในอนาคต