14 สิงหาคม 2568 สำนักข่าว BBC รายงานท่าทีของผู้นำกลุ่มประเทศยุโรปที่เป็นไปในทางที่ดี หลังพูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวาน (14 สิงหาคม 2568) ก่อนการนัดพบระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน
ทรัมป์และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ ได้พูดคุยกับผู้นำของสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ฟินแลนด์ และโปแลนด์ รวมถึงประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน และเลขาธิการนาโต มาร์ค รุตเต เมื่อวานนี้ทางออนไลน์ผ่านการประชุมที่จัดขึ้นก่อนการพบกันครั้งสำคัญดังกล่าว 2 วัน
มีรายงานว่า ทรัมป์กล่าวกับผู้นำยุโรปว่า จุดมุ่งหมายของเขาสำหรับการประชุมครั้งนี้คือการหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน และทรัมป์ยังเห็นด้วยว่า การเจรจาประเด็นด้านดินแดนต้องมีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ยังกล่าวว่า ทรัมป์ยืนยันว่าความมั่นคงจะเป็นหัวข้อที่จะพูดคุยในข้อตกลงด้วย
มาครงกล่าวว่า การได้พูดคุยกับทรัมป์ทำให้เขาสามารถ “ชี้แจงเจตนาของเขา” และทำให้ยุโรปมีโอกาส “แสดงความคาดหวังของเรา”
ประเทศยุโรป รวมถึงยูเครนไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมที่อะแลสกาวันศุกร์นี้ ดังนั้นการพูดคุยเมื่อคืนจึงเป็นหนทางสุดท้ายที่จะแสดงเจตนารมณ์ และเน้นย้ำผลประโยชน์ของยูเครนและความมั่นคงของทวีปต่อทรัมป์
หลังการประชุมคืนวันพุธ ทรัมป์ให้คะแนนการประชุมครั้งนี้ “เต็ม 10” และกล่าวว่ารัสเซียจะต้องเผชิญกับ “ผลลัพธ์ที่รุนแรงมาก” หากไม่ยุติสงครามในยูเครน เขายังกล่าวว่าหากการประชุมในวันศุกร์เป็นไปด้วยดี เขาจะพยายามจัด “การประชุมครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว” ซึ่งจะมีทั้งปูตินและเซเลนสกีเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม ผู้นำยุโรปยังย้ำผ่านแถลงการณ์ถึงความจำเป็นที่ยูเครนต้องมีส่วนร่วมในทุกการตัดสินใจขั้นสุดท้าย สะท้อนถึงความกังวลที่ว่า ปูตินอาจสามารถชักจูงให้ทรัมป์ยอมมอบดินแดนของยูเครนเพื่อแลกกับการหยุดยิงได้
นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ โดนัลด์ ทุสก์ แห่งโปแลนด์ กล่าวย้ำใจความที่เขาต้องการสื่อต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยุโรปต้องโน้มน้าวโดนัลด์ ทรัมป์ว่ารัสเซียไม่น่าไว้ใจ”
ด้านนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช เมิร์ทซ์เน้นประเด็นการมีส่วนร่วมของยูเครน
“ทำให้ชัดเจนว่ายูเครนต้องอยู่บนโต๊ะทันทีที่มีการจัดการประชุมติดตามผล” และเสริมว่า หากฝ่ายรัสเซียปฏิเสธที่จะทำการประนีประนอมใด ๆ “สหรัฐฯ และพวกเราในยุโรปควรและต้องเพิ่มแรงกดดัน”
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่า “มีความคืบหน้าที่ดี” ในเรื่องนี้ และชื่นชมความพยายามของทรัมป์ในการบรรลุข้อตกลง
“ตลอดสามปีเศษที่ผ่านมาสงครามนี้ดำเนินต่อไป และเรายังไม่มีโอกาสที่จะได้ทางออกที่ใช้การได้จริง ทางออกที่สามารถนำไปสู่การหยุดยิงได้ [...] ตอนนี้เรามีโอกาสนั้นแล้ว เพราะงานที่ประธานาธิบดีได้ทำ”
ตั้งแต่สหรัฐฯ ประกาศการประชุมระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ได้กล่าวถึง “การแลกเปลี่ยนดินแดน” ระหว่างยูเครนและรัสเซีย ทำให้เกิดความกังวลว่า ยูเครนจะต้องยอมให้ปูตินได้ตามข้อตกลงที่เขาเรียกร้องมานาน นั่นคือการได้ยึดครองดินแดนของยูเครน
เมื่อเช้าวันพุธที่ 13 สิงหาคม รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย อเล็กเซย์ ฟาเดเยฟ ตอกย้ำจุดยืนอันไม่เปลี่ยนแปลงของรัสเซีย นับตั้งแต่ที่ปูตินระบุไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2567
จุดยืนดังกล่าวที่ปูตินกล่าวไว้ในครั้งนั้นคือ รัสเซียจะหยุดยิงเมื่อรัฐบาลยูเครนถอนกำลังออกจาก 4 ภูมิภาคที่รัสเซียยึดครองอยู่บางส่วนได้แก่: โดเนตสค์, ลูฮันสก์, เคอร์ซอน, และซาโปริซเซีย นอกจากนี้ยูเครนยังต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าร่วม NATO ด้วย เหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องที่ยูเครนและพันธมิตรยุโรปเห็นว่าไม่สามารถยอมให้ได้
เซเลนสกีมั่นใจว่า รัสเซียจะใช้ภูมิภาคใดก็ตามที่เก็บไว้ได้เป็นฐานในการรุกรานครั้งต่อไป และเพื่อสร้างความมั่นว่าการรุกรานที่กังวลกันจะไม่เกิดขึ้น ยุโรปเน้นย้ำว่า ในการเจรจาต้องยึดมั่นความมั่นคงระยะยาวของยูเครนเป็นหลัก ซึ่งดูเหมือนว่า ผู้นำประเทศยุโรปจะเห็นสัญญาณที่ดีในประเด็นดังกล่าวหลังการพูดคุยกับทรัมป์เมื่อคืน
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้เป็นแกนนำกลุ่ม “พันธมิตรที่สมัครใจ” หรือกลุ่มประเทศที่ให้คำมั่นว่าจะยับยั้งรัสเซียจากการรุกรานยูเครนเพิ่ม
เมื่อวานนี้ กลุ่มกล่าวว่า พร้อม “ที่จะมีบทบาทอย่างแข็งขัน” รวมถึงการส่ง “กองกำลังสร้างความมั่นใจเมื่อการสู้รบยุติลง” อย่างไรก็ตามคำกล่าวอ้างนั้นยังไม่มีโครงสร้าง องค์ประกอบ และบทบาทของกองกำลังอย่างชัดเจน
นอกห้องเจรจา ที่แนวหน้าสนามรบ การโจมตีของรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป อ้างอิงจากการรุกคืบอย่างรวดเร็วของกองทัพมอสโกใกล้เมืองโดโบรปิลยา ในภูมิภาคโดเนตสก์ที่กำลังมีการสู้รบ
เซเลนสกีกล่าวว่าปูตินกำลังแสร้งทำเป็นว่ามาตรการคว่ำบาตรไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย
“ผมบอกกับทรัมป์และพันธมิตรยุโรปของเราว่าปูตินกำลังทำทรงว่าไม่เป็นอะไร” ประธานาธิบดียูเครนกล่าว และกระตุ้นให้ “เพิ่มแรงกดดัน” ต่อรัสเซีย
ด้านทรัมป์เอง ดูเหมือนเขาจะยอมรับว่าแม้เมื่อเขาพบปูตินต่อหน้า เขาอาจไม่สามารถทำให้ปูตินหยุดการสังหารพลเรือนในยูเครนได้
“ผมเคยคุยเรื่องนั้นกับเขา… แต่แล้วผมกลับบ้านและเห็นว่ามีจรวดถล่มบ้านพักคนชรา หรืออาคารอพาร์ตเมนต์ และผู้คนกำลังนอนตายอยู่บนถนน [...] ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบสำหรับเรื่องนั้นน่าจะคือ ไม่”