กางแผนดูตัวเลือกสหรัฐฯ จะเล่นบทไหนในตะวันออกกลาง ขอกลับจาก G7 ก่อน

คาโรลีน ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางกลับถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อคืนวันจันทร์ (16 มิถุนายน 2568) ซึ่งไวกว่ากำหนด 1 วัน หลังเดินทางเข้าร่วมประชุม G7 ที่เมืองแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา

ตะวันออกกลางเดือด ทรัมป์ขอ G7 กลับก่อน

G7 หรือ Group of Seven คือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี และญี่ปุ่น กลุ่มนี้จะมีการประชุมประจำปีเพื่อหารือเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม ลีวิตต์กล่าวว่า ทรัมป์จะร่วมรับประทานอาหารค่ำกับผู้นำประเทศสมาชิก และร่วมถ่ายรูปหมู่ก่อนจะเดินทางกลับ

ทรัมป์เปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหัน สืบเนื่องจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นมาและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทรัมป์ยังโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social เตือนให้ประชาชนชาวอิหร่านอพยพออกจากกรุงเตหะราน

ก่อนหน้าคำเตือนของทรัมป์ ในวันเดียวกัน (จันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568) กองทัพอิสราเอลก็ออกคำสั่งให้ประชาชนในเตหะรานหลายพื้นที่อพยพออกจากเมืองหลวงของอิหร่านเช่นกัน และขู่ว่าจะทิ้งระเบิดเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร

การประชุม G7 ที่ทรัมป์ขอตัวกลับก่อนกำหนด 1 วันนั้น กลุ่มผู้นำตั้งเป้าการประชุมหาทางยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และหวังว่าสหรัฐฯ จะลงนามในแถลงการณ์เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความตึงเครียดลง

แบบร่างของแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า อิหร่านไม่มีสิทธิในการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ อิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตนเอง และทรัมป์กล่าวบน Truth Social ถึงการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการถูกกดดันให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในสถานการณ์

“อเมริกาต้องมาก่อน หมายถึงอะไรดี ๆ หลายอย่างเลย รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า อิหร่านจะมีอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้เด็ดขาด! ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง!!!”

“เขากำลังจะทำข้อตกลงกัน และทันทีที่ผมออกจากที่นี่ไป เราจะลงมือทำบางอย่าง แต่ผมต้องไปก่อน [...] คุยกันต่อหน้าดีกว่า”

อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านฉับพลันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อิหร่านจึงตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธไปยังเมืองต่าง ๆ ของอิสราเอล มุ่งเป้าหลักที่เมืองเทลอาวีฟและไฮฟา และยังขู่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์

นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ยังกล่าวว่า การสังหารผู้นำสูงสุดของอิหร่าน หรือ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี จะเป็นทาง “จบความขัดแย้งได้”

ความขัดแย้งที่เพิ่มขีดความรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่ตะวันออกกลาง ทำให้สหรัฐฯ กังวลว่าจะถูกดึงเข้าไปมีบทบาทด้วยหรือไม่

ทรัมป์มีตัวเลือกอะไรบ้างในการจัดการกับปัญหาตะวันออกกลาง?

สำนักข่าว BBC สรุป 3 ทางเลือกที่วางอยู่ตรงหน้าทรัมป์ พร้อมทั้งข้อกังวลที่เขาต้องพิจารณาสำหรับการดำเนินบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งครั้งนี้

1. ยอมตามเนทันยาฮู เพลิงสงครามโหมรุนแรง

หลังอิสราเอลส่งมิสไซล์โจมตีกรุงเตหะราน ทรัมป์ยังส่งคำขู่ว่า อิหร่านจะเผชิญการโจมตีที่ “รุนแรงยิ่งกว่านี้” จากความร่วมมือของอิสราเอลและสหรัฐฯ

ทรัมป์และเนทันยาฮูต่างยืนยันว่า อิหร่านไม่มีสิทธิครอบครองขีปนาวุธ แต่สหรัฐฯ อยากเจรจากับอิหร่านผ่านทางข้อตกลงมากกว่า อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ดูจะยังสับสนว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นอย่างไร ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้กำลังผสมกับการบีบคั้นทางการทูต ทั้งอาทิตย์ก่อนยังบอกว่า การโจมตีของอิสราเอลจะช่วยให้สัญญาเป็นจริง หรือไม่ก็พังไปเลย

ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์ ว่ากันว่า คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ ที่ในทางการต่างประเทศเรียกว่า “คนคลั่ง” (madman) เป็นการใช้ความคาดเดาไม่ได้ ผลักให้ศัตรู หรือบางทีก็รวมถึงพันธมิตร ทำตามที่เขาต้องการ กลยุทธ์นี้เคยถูกใช้โดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ริชาร์ด นิกสัน สมัยสงครามเย็น

ในขณะที่ผู้สนับสนุนและที่ปรึกษาทรัมป์บางคนสนับสนุนให้ทรัมป์ใช้กลยุทธ์ “คนคลั่ง” กับอิหร่านให้ถึงที่สุด อิสราเอลก็กดดันให้สหรัฐฯ ใช้วิธีทางการทหาร เพราะถึงแม้ทรัมป์จะอยากได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่สุดท้ายก็อาจต้องใช้วิธีแข็งกร้าวกับผู้นำอิหร่านอยู่ดี

มีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะดันหลังให้สหรัฐฯ “จัดการให้เสร็จ” อิสราเอลเชื่อว่าสหรัฐฯ สามารถทำลายฐานเสริมสร้างยูเรเนียมใต้ดินของอิหร่านได้ ด้านรีพับลิกันในสภาก็ต้องการให้เปลี่ยนระบอบการปกครองอิหร่าน

2. เดินทางสายกลาง

ที่ผ่านมา ทรัมป์คอยย้ำเตือนว่า สหรัฐฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอล แต่ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรง อาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของทรัมป์ เนื่องจากกองทัพเรือและขีปนาวุธภาคพื้นดินของสหรัฐฯ ในขณะนี้มีส่วนช่วยอิสราเอลป้องกันการโจมตีของอิหร่านอยู่แล้ว

ที่ปรึกษาทรัมป์ในสภาความมั่นคงแห่งชาติไม่แนะนำให้ทรัมป์ดำเนินการใด ๆ ที่จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน ยิ่งเมื่อขีปนาวุธของอิหร่านได้โจมตีแนวป้องกันของอิสราเอลและสหรัฐฯ บางส่วน

และแม้ว่าเนทันยาฮูจะกล่าวว่าการสังหารผู้นำอิหร่านจะทำให้ความขัดแย้งยุติ ทรัมป์ยังค้านแนวคิดนั้นอยู่ อ้างอิงจากคำกล่าวของแหล่งข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้ไม่ระบุชื่อ

3. ฟังเสียงในประเทศแล้วถอยห่าง

แม้ว่าเสียงนักการเมืองรีพับลิกันส่วนใหญ่จะสนับสนุนอิสราเอล และสนับสนุนการส่งออกอาวุธให้อิสราเอล แต่ก็มีเสียงบางส่วนจากขบวนเคลื่อนไหว Make America Great Again (MAGA) ที่ปฏิเสธการสนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดตัว

ไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดสหรัฐฯ จึงยอมถือความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ ทั้งที่นโยบายการต่างประเทศเดิมคือ “อเมริกาต้องมาก่อน”

ทัคเกอร์ คาร์ลสัน ผู้สื่อข่าวผู้สนับสนุนทรัมป์ เขียนวิจารณ์เขาเมื่อวันศุกร์ว่า คำสัญญาที่ทรัมป์เคยให้นั้นไม่จริง และกล่าวว่าสหรัฐฯ ควรจะ “ทิ้งอิสราเอล”

เขากล่าวว่าเนทันยาฮูและคณะรัฐบาลกระหายสงครามของอิสราเอล ประพฤติตนในแนวทางที่จะดึงกองทัพสหรัฐฯ ไปต่อสู้ในนามของตน

“การไปเข้าร่วมก็เหมือนการชูนิ้วกลางใส่หน้าคนเป็นล้านที่หย่อนบัตรเลือกตั้งให้ เพราะคาดหวังจะได้มีรัฐบาลที่เลือกสหรัฐฯ ก่อนในที่สุด”

กองทัพสหรัฐฯ ขยับตัวในตะวันออกกลาง

ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ยังไม่ได้เข้าไปพัวพันโดยตรงกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีรุ่น USS Nimitz ได้เปลี่ยนเส้นทางจากทะเลจีนใต้ไปยังตะวันออกกลาง ส่งผลให้มีเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ ถึงสองลำที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังภูมิภาคดังกล่าว

USS Nimitz คาดว่าจะเดินทางถึงตะวันออกกลางในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี USS Carl Vinson

ตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา เรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นนี้ได้เคลื่อนเข้าใกล้อิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปกป้องทรัพย์สินของสหรัฐฯ ในภูมิภาค เช่นเดียวกับเครื่องบินเติมน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ถูกส่งไปยังยุโรปอีกหลายสิบลำ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการในตะวันออกกลาง

ที่มา: BBC, The Guardian