ทีมสืบสวนสามารถกู้เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (Cockpit Voice Recorder - CVR) กรณีเครื่องบินสายการบิน Air India ตกที่เมืองอัห์มดาบัดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาได้ ถือเป็นอีกก้าวที่เข้าใกล้การพบสาเหตุเครื่องบินตก
เครื่องบินลำดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าไปกรุงลอนดอน ก่อนตกหลังทะยานขึ้นบินจากสนามบินนานาชาติ Sardar Vallabhbhai Patel ได้ไม่ถึง 60 วินาที แล้วเที่ยวบิน AI171 ก็พุ่งชนอาคารพักของแพทย์ในบริเวณวิทยาลัยแพทย์ BJ และโรงพยาบาลพลเรือน (Civil’s Hospital) เป็นเหตุให้ลูกเรือและผู้โดยสาร 241 จาก 242 รายเสียชีวิต ยกเว้นชายชาวอังกฤษวัย 40 ปี
ไฟล์เสียง CVR เป็นไฟล์ที่บันทึกบทสนทนาในห้องนักบิน สัญญาณเตือนภัย และเสียงแวดล้อมต่างๆ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ เจ้าหน้าที่ได้กู้เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน (Flight Data Recorder - FDR) จากซากเครื่องบิน ซึ่งบันทึกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพารามิเตอร์การบิน เช่น ความสูง ความเร็ว และประสิทธิภาพของเครื่องยนต์
CVR และ FDR รวมกันเรียกว่า “กล่องดำ” หรือ black box (แม้ตัวกล่องจริงจะเป็นสีส้มสด เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจสอบอุบัติเหตุทางอากาศ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุ และจำลองเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายของเที่ยวบินก่อนตกได้
นอกจากผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบินดังกล่าว ประธานสมาคมแพทย์ฝึกหัดของวิทยาลัยแพทย์ BJ ดร.ธวัล กาเมติ ยืนยันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า โรงพยาบาลได้รับศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกจำนวน 270 ร่าง
มีผู้เสียชีวิตที่พบบนพื้นดินรวมกว่า 270 ราย ตามข้อมูลจากแพทย์ท้องถิ่น ณ จุดเกิดเหตุ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้เสียชีวิตโดยการตรวจสอบ DNA เปรียบเทียบกับญาติ
ดร.ราจนิช พาเทล แห่งโรงพยาบาลพลเรือนในอาเมดาบัด เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 รายที่ได้รับการยืนยันตัวตนจากการตรวจ DNA และ 47 รายในนั้นได้ถูกส่งกลับไปยังครอบครัวแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากที่รอคอยผลการตรวจสอบ
เจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า กระบวนการยืนยันตัวตนดำเนินไปอย่างล่าช้าและซับซ้อน เพราะร่างผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ทันที จึงต้องดำเนินการในลักษณะกลุ่มย่อย
มีการจัดพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในหลายพื้นที่ทั่วอินเดียและสหราชอาณาจักร เช่น หน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ประจำอินเดียในกรุงลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้มาร่วมไว้อาลัยราว 100 คน หลายคนจุดเทียนเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต
เหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนี้ทำให้ทั้งสายการบิน Air India และบริษัท Boeing ตกอยู่ภายใต้คำถามถึงมาตรฐานการปฏิบัติงาน จากเดิมที่ทั้งสององค์กรต่างพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ยืดเยื้อ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน Flightradar24 ระบุว่า เครื่องบิน Boeing Dreamliner 787-8 ซึ่งเป็นรุ่นที่ประสบอุบัติเหตุมีอายุการใช้งาน 11 ปี และบินในเส้นทางอัห์มดาบัด–ลอนดอนแกตวิคมาแล้ว 25 เที่ยวบินในช่วงสองปีที่ผ่านมา
อัดนัน บาชีร์ ที่ปรึกษาอิสระด้านการสื่อสารและกิจการองค์กรระดับโลกซึ่งเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารในภาวะวิกฤต กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ถึงภาพลักษณ์ของ Boeing ว่า
“ตอนนี้ชื่อ Boeing กลายเป็นสิ่งที่ผู้โดยสารหวั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน แม้แต่คำว่า ‘Boeing’ เองก็ทำให้หลายคนรู้สึกสะเทือนใจแล้ว”
ชื่อเสียงของ Boeing ตกต่ำลงตั้งแต่ตุลาคม 2018 เมื่อเครื่องบินของสายการบิน Lion Air รุ่น 737 MAX ตกจากปัญหาของระบบควบคุมลักษณะการบิน (MCAS) ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันการสูญเสียแรงยก มีผู้โดยสารเสียชีวิต 189 คน
ต่อมาในเดือนมีนาคม 2019 เครื่องบินรุ่นเดียวกันของสายการบิน Ethiopian Airlines ก็ตกด้วยเหตุผลเดียวกัน มีผู้เสียชีวิต 157 คน
มกราคม 2024 Boeing เผชิญแรงกดดันอีกครั้ง เมื่อแผงประตูของเครื่องบินหลุดออกกลางอากาศระหว่างเที่ยวบินของสายการบิน Alaska Airlines เส้นทางจากเมืองออนตาริโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน
แม้ว่าโมเดล Dreamliner จะยังคงมีสถิติด้านความปลอดภัยที่ดี แต่สำนักงานกำกับดูแลการบินพลเรือนของอินเดีย (DGCA) ได้สั่งให้ตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มเติมในกลุ่มเครื่องบิน Boeing 787-8 และ 787-9 ของ Air India โดยระบุว่าเป็น “มาตรการเชิงป้องกัน”
สก็อตต์ แฮมิลตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน ให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า
“นี่เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งแรกของเครื่องบินรุ่น 787 แม้ว่าจะเคยมีปัญหาในช่วงเริ่มต้นและปัญหาการผลิตต่างๆ แต่ที่ผ่านมาก็ถือว่ามีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม”
เครื่องบินรุ่น Dreamliner เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 จนถึงปัจจุบัน Boeing ได้ขายเครื่องบินรุ่นนี้ไปแล้วกว่า 2,500 ลำทั่วโลก โดยส่งมอบเครื่องบินรุ่นดรีมไลเนอร์แล้ว 1,189 ลำ และ Air India มีอยู่ในครอบครอง 47 ลำ
สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า เครื่องบินรุ่นนี้เคยถูกตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยมาโดยตลอด ในปี 2024 จอห์น บาร์เน็ตต์ อดีตผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพของ Boeing ถูกพบว่าเสียชีวิตในสถานการณ์น่าสงสัย หลังเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่น 787
บาร์เน็ตต์กล่าวหา Boeing ว่า ลดต้นทุนและเร่งกระบวนการผลิตเพื่อให้สามารถส่งมอบเครื่องบินได้ทันกำหนด โดยอ้างว่า Boeing ติดตั้งชิ้นส่วนที่ไม่ได้มาตรฐาน และยังพบว่าระบบออกซิเจนฉุกเฉินของเครื่องบินรุ่นนี้มีอัตราความล้มเหลวสูงถึง 25%
เมื่อวันศุกร์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุเครื่องบินตก และเยี่ยมโรงพยาบาลเพื่อพบกับผู้บาดเจ็บจากภัยพิบัติ รวมถึงผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเครื่องบินคือ วิศวัสกุมาร ราเมช โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ทั้งประเทศกำลังภาวนาให้ผู้บาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว”
ซีอีโอของแอร์อินเดีย แคมป์เบลล์ วิลสัน เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุในวันเดียวกัน และกล่าวว่าการเยี่ยมสถานที่นั้นเป็นประสบการณ์ที่ “สะเทือนใจอย่างยิ่ง”
หน่วยงานที่เป็นผู้นำการสอบสวนคือ สำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของอินเดีย (AAIB) โดยมีทีมจากสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรร่วมให้ความช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ (NTSB) ได้ลงสำรวจพื้นที่จุดเกิดเหตุเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมแถลงว่าได้เริ่มการสอบสวนคู่ขนานกับ AAIB ตามมาตรฐานสากล เนื่องจากเครื่องบินลำนี้ผลิตในสหรัฐฯ
สื่ออินเดียรายงานว่า เจ้าหน้าที่จากบริษัท Boeing และสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเช่นกัน