จีนตั้งค่าหัวชาวไต้หวัน 20 คน อ้างเป็นแฮกเกอร์สายทหาร
กระทรวงกลาโหมไต้หวันประกาศว่า กองกำลังไซเบอร์ของไต้หวันจะไม่หวั่นเกรงต่อคำขู่ของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ หลังตั้งค่าหัวประชาชนชาวไต้หวัน 20 คน โดยกล่าวหาว่า เป็นแฮกเกอร์ทหารจากไต้หวัน พร้อมย้ำว่า ระบบกฎหมายของจีนไม่มีขอบเขตอำนาจบนกาะไต้หวัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานความมั่นคงสาธารณะของเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ระบุว่า มีแฮกเกอร์กลุ่มหนึ่งเป็นบุคคลของหน่วยบัญชาการสารสนเทศ การสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ของกองทัพไต้หวัน และได้เผยแพร่ภาพถ่าย ชื่อ บัตรประชาชนของคนเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังได้ตั้งรางวัลนำจับมากกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผู้ที่ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุม
ส่วนเมื่อวานนี้ (11 มิถุนายน) สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนแถลงว่า รัฐบาลจีนจะดำเนินการเรื่องนี้จนถึงที่สุด และจะไม่ผ่อนปรน โดยจะใช้ช่องทางทางกฎหมายเพื่อปราบปรามการกระทำของกลุ่มดังกล่าว
ขณะในช่วงค่ำวันเดียวกัน กองบัญชาการกองกำลังอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงกลาโหมไต้หวันก็ออกมาตอบโต้ว่า จีนยังคงพยายามใช้เรื่องแฮกข้อมูลที่แต่งขึ้น เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง และเสนอรางวัลข้ามพรมแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนถือว่าไต้หวัน ซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตนเอง และในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มแรงกดดันทั้งด้านการทหารและการเมืองต่อไต้หวันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันปฏิเสธข้ออ้างอธิปไตยของจีนโดยสิ้นเชิง
ไต้หวันย้ำกฎหมายจีนไม่มีผลผูกพัน ชี้ปักกิ่งใช้กฎหมายภายในบิดเบือนความจริง
กระทรวงกลาโหมไต้หวันออกแถลงการณ์ระบุว่า ตามรัฐธรรมนูญของไต้หวัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีเขตอำนาจทางกฎหมายใด ๆ เหนือเกาะไต้หวัน และกฎหมายของจีนไม่ได้มีผลผูกพันต่อประชาชนชาวไต้หวัน
แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า “คอมมิวนิสต์จีนได้ใช้กฎหมายและข้อบังคับภายในของตนในการชักนำและบิดเบือนความคิดเห็นสาธารณะอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างอำนาจกฎหมายข้ามแดน และบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพไต้หวัน”
ทั้งนี้ ไต้หวันยืนยันว่า เจ้าหน้าที่และทหารในกองบัญชาการสารสนเทศ การสื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ จะไม่หวั่นไหวต่อการข่มขู่ดังกล่าว และจะยังคงปกป้องชายแดนทางดิจิทัล พร้อมเสริมความมั่นคงของชาติผ่านการป้องกันข้อมูลข่าวสารอย่างแข็งแกร่ง
ที่ผ่านมา ไต้หวันได้กล่าวหาจีนว่า จีนไม่เพียงแต่โจมตีทางไซเบอร์ในวงกว้างต่อไต้หวันเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านโซเชียลมีเดียและช่องทางอื่น ๆ เพื่อบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลอีกด้วย.
