เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 67 มีเวทีเสวนาเรื่อง ‘ช่องบก–ตาเมือน: ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก’ จัดโดยสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาและ โครงการ ‘ศิลป์เสวนา’ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ศ. ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และ รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช ร่วมแสดงความคิดเห็นในข้อพิพาทครั้งนี้ โดยมีการตั้งคำถามคล้าย ๆ กันว่า ปัญหารอบนี้เป็นเรื่องของพรมแดนจริงหรือ? หรือเป็นประเด็นการเมือง เพราะมีการหยิบยกกระแสชาตินิยมขึ้นมาใช้ ซึ่งกระแสดังกล่าวแม้เป็นเรื่องดี แต่ก็เหมือนเป็นดาบสองคม และไทยเองควรจะทำเช่นไร ในเมื่อมีชายแดนติดกับประเทศที่มีแนวคิดเรื่องชาตินิยมแบบเข้มข้นเช่นนี้
รศ. ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า การขยับครั้งนี้ของกัมพูชาเป็นเรื่องการเมืองภายใน และถ้าหากเป็นการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะมีเป้าหมายคือการทำให้กัมพูชาได้ดินแดนเพิ่ม โดยวิเคราะห์จากเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต โพสต์เฟชบุ๊กโดยมีข้อความหนึ่งระบุว่า กัมพูชา "ขอสงวนสิทธิ์ที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต (Territorial Identity) ของตน รวมถึงการใช้กองกำลังติดอาวุธในกรณีที่มีการพยายามรุกรานอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ของกัมพูชา”
คำว่า Territorial Identity หรือ อัตลักษณ์อาณาเขต/ดินแดน ในที่นี่ อาจารย์อธิบายว่า เป็นแนวคิดของคนที่ศึกษาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือแม้กระทั่งสังคมศาสตร์ในหลายแขนง แต่การเล่นเรื่องรักชาติมากๆ เหมือนดาบสองคม กล่าวคือ อัตลักษณ์อาณาเขต หมายถึง การที่ชุมชน สังคมหรือรัฐหนึ่งๆ ใช้อารมณ์ความรู้สึกหรือความนึกคิดของตนเข้าไปผูกติดพันธนาการกับเขตดินแดนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ โดยในด้านหนึ่ง ถือเป็นการดีต่อการสร้างชาติของฝ่ายตน แต่อีกด้านหนึ่ง ถือเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นปัจจัยบ่มเพาะลัทธิเกลียดชังระแวงชาวต่างชาติ (Xenophobia)
ในรัฐบาลฮุน มาเนต มีการเคลมความเป็นกัมพูชาเยอะมาก ซึ่งเรื่องนี้ ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะถ้ากัมพูชายังไม่ลดเพดานเรื่องอัตลักษณ์อาณาเขต ประเทศไทยย่อมเสี่ยงที่จะถูกรุกรานพื้นที่ในหลายมิติ และ การพัฒนาสันติภาพในภูมิภาค ก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
ด้าน ศ. ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ตั้งคำถามว่า ต้นตอของปัญหานี้อยู่ที่ประเด็นพื้นที่ทับซ้อนจริงหรือไม่ แต่ตนมองว่า ต้นตอไม่ได้มาจากเรื่องพรมแดน เป็นผลกระทบมาจากการเมืองเสียมากกว่า ถ้าหากรัฐบาลสองฝ่าย และกองทัพของสองฝ่ายพอใจกับการที่จะยุติความขัดแย้ง ณ จุดนี้ น่าจะเปิดทางให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ทำงานต่อไปได้
สำหรับประเด็นกระแสชาตินิยมที่ถูกจุดขึ้นมาในขณะนี้ ทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชา อ.ปวินมองว่า ไทยกับกัมพูชาเหมือนพี่น้อง ความสัมพันธ์เหมือนทั้งรักทั้งเกลียด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้ หนีกันไม่ได้ แล้วเราจะอยู่อย่างไร ดังนั้นเรื่องกระแสชาตินิยมต้องคิดดีๆ ย้ำว่า ต้องระมัดระวังมาก ๆ เวลาจะใช้ความเป็นชาตินิยม แต่ไม่อยากให้ตีความว่า คนที่ไม่เอาชาตินิยมไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ได้รักชาติ มองว่า ชาตินิยมอาจจะนำไปสู่ความร่วมมือ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกใช้ในการทำลายล้าง
ส่วน อ.ดุลยภาคบอกว่า ระบอบการปกครองของไทย รัฐบาลเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ในกัมพูชา ตระกูลฮุนครองอำนาจมาอย่างยาวนาน และน่าจะอยู่อีกนาน ระบอบปกครองของกัมพูชานั้นเรียกว่าระบบเผด็จการเลือกตั้งแบบครอบงำ เป็นระบบไฮบริด เข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้น เมื่อตระกูลฮุนน่าจะครองอำนาจอีกนาน เมื่อผู้นำอย่างฮุน มาเนตมีแนวคิดเรื่อง Territorial Identity ชุดความคิดแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับไทย ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า ไทยจะรับมืออย่างไรกับกัมพูชา ประเทศที่มีแนวคิดชาตินิยมแบบเข้มข้น
แม้ว่าสถานการณ์จะดูคลี่คลายลง เพราะทางไทยออกมาประกาศว่า กัมพูชาสั่งถอนกำลังทหารแล้ว อย่างไรก็ตาม ฮุน เซ็น อดีตผู้นำของกัมพูชาโพสต์ข้อความว่า ไม่ได้ถอนทหาร แค่ปรับกำลัง
อ.ปวินมองว่า อาจจะยังไม่มีการสื่อสารอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องการใช้ประโยชน์ทางการเมืองจากสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นอาจจะต้องรอต่อไปจนกว่าการประชุม JBC จะเกิดขึ้นในวันเสาร์นี้ อาจารย์มองว่า อยากให้เวที JBC เป็นสถานที่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และการตอบโต้ไปมาเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลดีเลย
อ.ดุลยภาค มองว่า อาจจะเป็นวิธีการ เป็นลูกเล่นของกัมพูชา อย่างเช่นสัปดาห์ก่อน มีข้อสรุปการพบกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งไทยออกแถลงการณ์ว่าได้ข้อสรุป 3 ข้อ แต่วันรุ่งขึ้นกัมพูชาเพิ่มข้อ 4 ขึ้นมา และเมื่อวันนี้ไทยบอกว่า กัมพูชาถอนทหารแล้ว แต่ต่อมากัมพูชาบอกว่า แค่ปรับกำลัง แต่ตัวชี้วัดคือ คูเลตที่ถูกกลบไปแล้ว และไทยก็แจ้งว่าไม่พบทหารไทยในตรงนั้น กัมพูชาถอยทหารลึกเข้าไปในเขตแล้ว
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หากกัมพูชาไม่มั่นใจ ก็ควรมีฝ่ายที่สามเข้ามา แต่ควรพิสูจน์ตรงท้องถิ่นตรงแถวช่องบกก่อน
ความขัดแย้งครั้งนี้ อาจจะใช้ทฤษฎีบริหารจัดการความขัดแย้ง ซึ่งหลักๆมี 3 ขั้นตอนเข้ามาช่วยเหลือก่อน
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มองว่า กัมพูชาเตรียมการยื่นศาลโลกมานานแล้ว เพราะมองว่าตนเองมีแต้มต่อ อาจจะใช้กลยุทธ์ต่อยอดจากปราสาทพระวิหารที่เคยชนะ แต่ถ้าใช้ 3 ขั้นตอนนี้ช่วยได้ก็ยังไม่จำเป็นต้องไปศาลโลก และใช้เวที JBC เป็นช่องทางที่สำคัญในการแก้ปัญหานี้