ศูนย์การศึกษากลยุทธ์และระหว่างประเทศ (CSIS) ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า รัสเซียมีแนวโน้มที่จะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บถึง 1 ล้านคนในช่วงฤดูร้อนนี้ โดยเชื่อว่าความสูญเสียอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เป็นเพราะประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ละเลยต่อชีวิตของทหารในกองทัพรัสเซีย
ผลการศึกษาเปิดเผยว่า นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ไม่มีสงครามระหว่างโซเวียตและรัสเซียครั้งใดที่มีอัตราการเสียชีวิตใกล้เคียงกับยูเครนเลย ประชาชนชาวยูเครนได้รับผลกระทบ 400,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 60,000 ถึง 100,000 ราย ในขณะที่ชาวรัสเซียได้รับผลกระทบ 950,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 250,000 ราย
แม้ว่ารัฐบาลเคียฟจะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการสูญเสียในการสู้รบของตน และเชื่อว่า รัฐบาลมอสโกประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตของตนเองต่ำเกินไป ส่วนตัวเลขของ CSIS ถูกมองว่าตรงกับความเป็นจริงมากกว่า เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้สอดคล้องกับการประเมินของหน่วยข่าวกรองของอังกฤษและสหรัฐฯ
ในเดือนมีนาคม กระทรวงกลาโหมของอังกฤษประเมินว่ารัสเซียสูญเสียทหารไปราว 900,000 นาย นับตั้งแต่ปี 2022 โดยกระทรวงฯ ประเมินมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วว่ารัสเซียสูญเสียทหารไปราว 1,000 นายต่อวัน ไม่ว่าจะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็ตาม และจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่ารัสเซียจะสูญเสียทหารทะลุ 1 ล้านนายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ผลการวิจัย CSIS ได้ใช้ตัวเลขผู้เสียชีวิตชาวรัสเซีย รวมถึงการประเมินการสูญเสียยุทโธปกรณ์หนักและการได้ดินแดนคืนมาซึ่งค่อนข้างทำได้ช้า มาหักล้างข้ออ้างของสมาชิกรัฐสภาตะวันตกบางส่วนที่ระบุว่ารัสเซียเป็นฝ่ายได้เปรียบในสงครามในยูเครน จากข้อมูลนี้จึงเห็นได้ชัดว่ากองทัพมอสโก "มีประสิทธิภาพในสนามรบไม่ดีนัก" และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหลักของสงครามได้
หลังจากยูเครนต้านทานการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของรัสเซียในปี 2022 ก็กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมาโดยตลอด ในขณะที่กองทัพเคียฟตั้งรับในสมรภูมิด้วยการขุดสนามเพลาะและทุ่นระเบิด กองทัพมอสโกกลับส่งทหารรบเข้าพื้นที่จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทั่วโลกเรียกกันว่า การส่งทหารไปตายเสมือนเครื่องบดเนื้อ เพราะประสิทธิภาพและจำนวนทหารที่รัสเซียส่งเข้ายึดพื้นที่นั้น มีอัตราเคลื่อนพลอยู่ที่ 50 เมตรต่อวันเท่านั้น อัตราการรุกคืบที่ช้าทำให้รัสเซียยึดครองดินแดนของยูเครนได้เพียง 1% นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 ปัจจุบัน รัสเซียยึดครองดินแดนของยูเครนประมาณ 20% รวมถึงคาบสมุทรไครเมียที่มอสโกว์ผนวกเข้าในปี 2014
เพื่อรักษาอัตราการเสียชีวิตที่สูงลิ่วของรัสเซียก่อนหน้านี้ รัฐบาลเครมลินแก้ปัญหาโดยการเกณฑ์นักโทษจากเรือนจำและต้อนรับทหารกว่า 12,000 นายจากเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นพันธมิตร รวมถึงทหารต่างชาติบางส่วนจากจีน แต่กลับไม่แตะต้องลูกหลานของชนชั้นสูงในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมากนัก นอกจากนี้ รัฐบาลยังคัดเลือกทหารจากพื้นที่ตอนเหนือสุดและตะวันออกสุดของประเทศ ซึ่งทหารเหล่านี้ถูกล่อลวงด้วยเงินเดือนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนในชุมชนที่ยากจน ซึ่งนับว่าเป็นกองทัพที่ไม่แข็งแกร่งนัก
แม้ว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายบุก และเริ่มความขัดแย้งมาตั้งแต่ต้นปี 2024 แต่นักวิจัยเชื่อว่าธรรมชาติของสงครามที่ก่อให้เกิดความเสียหายทำให้ "โอกาสในการบรรลุข้อตกลงที่เด็ดขาดมีน้อยมาก" ในทางกลับกัน ความหวังหลักของรัสเซียในการชนะนั้น คือต้องให้สหรัฐฯ หยุดให้ความช่วยเหลือยูเครน เช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำเมื่อต้นปีนี้ และพยายามเดินออกจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน