ย้อนกลับไปเมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ จะเริ่มดำเนิน “มาตรการจริงจัง” เพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนในสหรัฐฯ การเดินหมากครั้งนี้ะส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ อย่างไร
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหรของโดนัลด์ ทรัมป์ ยกระดับมาตรการขับไล่ผู้อยู่อาศัยต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้อยู่อาศัยผิดกฎหมาย แต่การดำเนินการของเขาในช่วงที่ผานมา ยังพยายามเพิกถอนสิทธิการอยู่อาศัยอย่างถูกกฎหมายของชาวต่างชาติด้วย หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา
รูบิโอโพสต์บน X ระบุว่า “สหรัฐฯ จะเริ่มเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีน รวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือผู้ที่เรียนในสาขาวิชาที่มีความสำคัญ”
เขาไม่ได้ด้เจาะจง ว่าสาขาใดมีความสำคัญ แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายถึงผู้นำของมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon, Purdue, Stanford, Illinois Urbana-Champaign, Maryland และ Southern California เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนจีนในหลักสูตรขั้นสูงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และแพทยศาสตร์
ก่อนหน้านี้ กลุ่ม China Hawks หรือกลุ่มนักวิชาการ นักการเมืองใสหรัฐฯ ที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน ได้เรียกร้องให้มีการกำกับดูแล และสอดส่องนักเรียนจีนในสหรัฐฯ มากขึ้น ตามข้อกล่าวหาว่า บางคนอาจเป็นสายลับของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จอห์น มูลีนาร์ ประธานคณะกรรมาธิการรัฐสภาระบุว่า จีนส่งนักเรียนมาเรียนโปรแกรมวิจัยชั้นนำของสหรัฐฯ เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีของปรเทศที่มีความละเอียดอ่อน
“พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดตั้งช่องทางฝึกวิจัยอย่างเป็นระบบ เพื่อฝังตัวนักวิจัยไว้ในสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง และเทคโนโลยีทางการทหาร” มูลีนาร์กล่าวในจดหมาย พร้อมเสริมว่านักเรียนจีนจำนวนมากย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในสหรัฐฯ หรือประเทศตะวันตกหลังเรียนจบ
“ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลอย่างมาก น่ากังวลว่า พลเมืองจีนที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาขั้นสูงจะถ่ายทอดความรู้กลับไปยังจีนในที่สุด” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม สหัฐฯ ยังไม่ได้ชี้แสงความเชื่อมโดยตรงระหว่างนักเรียนจีนในสหรัฐฯ และพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่ามีความเกี่ยวโยงโดยตรงกันอย่างไร
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ชื่อว่า “นโยบายวีซ่าใหม่เพื่ออเมริกาต้องมาก่อน ไม่ใช่จีน” โดยรูบิโอกล่าวว่า “เราจะปรับเกณฑ์การพิจารณาวีซ่าให้เข้มงวดขึ้นสำหรับผู้สมัครจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกงในอนาคต”
การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากรูบิโอเผยแพร่บันทึกว่า สหรัฐฯ ได้สั่งการให้สถานทูตต่างประเทศงดการนัดหมายสัมภาษณ์วีซ่าสำหรับนักเรียนต่างชาติทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศมีแผนขยายการตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่า
ต่อมา เมื่อวันพฤหัสบดี เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประณามการกระทำของรัฐบาลทรัมป์ว่า “ขาดความสมเหตุสมผลและเลือกปฏิบัติ”
“สหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนอย่างไร้เหตุผล โดยการอ้างอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชาติ [...] จีนคัดค้านอย่างเด็ดขาดและได้ยื่นประท้วงต่อสหรัฐฯ แล้ว”
เหมากล่าวว่าการกระทำของสหรัฐฯ “ละเมิดสิทธิของนักเรียนจีนอย่างร้ายแรง” และทำลายการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง และการดำเนินการในลักษณะนี้มีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ เอง
“แนวทางที่มีลักษณะการเมืองและเลือกปฏิบัตินี้ของสหรัฐฯ ได้เผยให้เห็นถึงคำโกหกเกี่ยวกับเสรีภาพและความเปิดกว้างที่สหรัฐฯ มักโฆษณาเสมอมา” เหมากล่าว
ตามรายงาน Open Doors จากสถาบันการศึกษานานาชาติ (IIE) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในปีการศึกษา 2566–2567 มีนักเรียนนักศึกษาจีนที่เรียนในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ถึง277,398 คน คิดเป็น 24.5% ของจำนวนนักเรียนนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด 1.13 ล้านคน
เฉพาะนักเรียนจากอินเดียเท่านั้นที่มีจำนวนมากกว่านักเรียนจีน โดยปี 2566–2567 ถือเป็นปีแรกที่อินเดียแซงจีนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ปี 2552
มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon มีนักเรียนจีนมากที่สุดในปีการศึกษา 2566 มีนักศึกษาจีนถึง 46.8% ของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด ส่วนที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) มีนักศึกษาจีนมากกว่าครึ่งของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด คือ 51.6% หรือ 14,072 คนจากจำนวนนักเรียนต่างชาติ 27,247 คนในปีการศึกษา 2566-2567
ด้านมหาวิทยาลัย Duke รายงานว่ามีนักเรียนต่างชาติประมาณ 5,000 คนในปี 2567 โดยมากนักศึกษาต่างชาติมาจากจีนและอินเดีย
มหาวิทยาลัย Northwestern มีนักศึกษาต่างชาติครึ่งหนึ่งเป็นชาวจีน และหลังจากคำประกาศของรูบิโอในวันพฤหัสบดี กลุ่มบัณฑิตแรงงานของมหาวืทยาลัย ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เรียกร้องให้ปฏิเสธคำร้องขอข้อมูลนักเรียนจีนจากคณะกรรมาธิการรัฐสภาเมื่อเดือนมีนาคม
แนวทางหันหลังให้นักเรียนนัศึกษาจีนของสหรัฐฯ สร้างผลเสียหลายประการ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ยังมีความเสียหายทางเศรฐกิจ
ในปีการศึกษา 2566-2567 นักเรียนต่างชาติในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยของสหรัฐฯ สร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวม 43.8 พันล้านดอลลาร์ และช่วยสนับสนุนการจ้างงานกว่า 378,000 ตำแหน่ง ตามข้อมูลขององค์กร NAFSA: สมาคมนักการศึกษานานาชาติ ซึ่งชี้ว่าตัวเลขนี้ เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดเท่าที่เคยมีการคำนวณมา
จากจำนวนนักเรียนต่างชาติ 1.1 ล้านคน นักเรียนแต่ละคนจึงสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 39,800 ดอลลาร์ต่อปีให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งหากคำนวณเฉพาะนักเรียนจีน 277,398 คนในปี 2566–67 พวกเขาจะมีส่วนสร้างรายได้มากกว่า 11 พันล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนั้น
นอกจากนี้ เมื่อจบการศึกษาแล้ว นักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ ยังมีบทบาทสำคัญนระบบเศรษฐกิจและนวัตกรรมต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2543 มีนักศึกษาปริญญาเอกชาวจีนมากกว่า 50,000 คนในสาขาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่ยังคงอยู่ในสหรัฐฯ ทำวิจัยและก่อตั้งสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ารวม 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 ในนั้นมี 21 บริษัทที่เป็น “ยูนิคอร์น” หรือบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์
และอ้างอิงจากผลการวิเคราะห์ในปี 2565 โดยมูลนิธินโยบายอเมริกันแห่งชาติ (NFAP) พบว่า 55% ของสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกก่อตั้งโดยผู้อพยพ
ที่มา: Reuters