เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เขย่าความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐอเมริกา และส่งแรงกระเพื่อมไปยังตลาดการเงินทั่วโลก เมื่อ Moody’s Ratings สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับสูงสุด Aaa ลงมาอยู่ที่ระดับ Aa1
การปรับลดครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 75 ปีที่ Moody’s ลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มให้การจัดอันดับเมื่อปี 1949 ขณะเดียวกัน การตัดสินใจครั้งนี้ยังทำให้ Moody’s กลายเป็นบริษัทจัดอันดับรายสุดท้ายที่ถอดเครดิตระดับสูงสุดของสหรัฐฯ ต่อจาก S&P Global Ratings ซึ่งลดอันดับเมื่อปี 2011 และ Fitch Ratings ที่ลดอันดับในปี 2023
แรงสะเทือนในตลาดการเงินเกิดขึ้นทันทีหลังการประกาศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งแตะระดับ 4.49% ขณะที่กองทุน ETF ที่อิงกับดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 0.6% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนความวิตกของนักลงทุนและผู้จัดการพอร์ตการลงทุนจำนวนมาก ที่ประเมินว่าอันดับความน่าเชื่อถือต่ำลงอาจบีบให้ตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ต้องเสนออัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเพื่อรักษาความน่าสนใจท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ อันดับเครดิตของรัฐบาลสะท้อนอะไรเกี่ยวกับความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศหนึ่ง? และกระบวนการวิเคราะห์และการให้คะแนนดำเนินการอย่างไร?
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านเจาะลึกระบบการจัดอันดับเครดิตของรัฐบาล และมาหาคำตอบกันว่าเหตุใดการถูกลดอันดับเพียง “หนึ่งขั้น” จึงสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้นๆ ได้
อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หรือ Sovereign Credit Rating คือการประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินของรัฐบาลประเทศหนึ่ง ว่ามี “ความสามารถ” และ “ความเต็มใจ” มากแค่ไหนในการชำระหนี้ที่ครบกำหนด โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่ออกในรูปของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนหลักที่รัฐบาลใช้สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อันดับนี้เป็นเสมือน “มาตรวัดความเสี่ยง” ที่ช่วยให้นักลงทุน สถาบันการเงิน และองค์กรระหว่างประเทศสามารถประเมินได้ว่าหากลงทุนหรือปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลของประเทศใด ประเทศนั้นมีแนวโน้มจะชำระคืนตามสัญญามากน้อยเพียงใด ยิ่งอันดับสูง ความเสี่ยงยิ่งต่ำ และต้นทุนการกู้ยืมก็จะยิ่งต่ำลงตามไปด้วย
ปัจจุบัน องค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและมีบทบาทสำคัญในการจัดอันดับ Sovereign Credit Rating ได้แก่ Moody’s Ratings, Standard & Poor’s Global Ratings (S&P) และFitch Ratings
ทั้งสามแห่งมีระบบการให้คะแนนเป็นของตนเอง แต่สามารถเทียบเคียงกันได้ โดยใช้ตัวอักษรเป็นตัวแทนของระดับความน่าเชื่อถือ เริ่มจากระดับสูงสุดคือ Aaa หรือ AAA ซึ่งสะท้อนความน่าเชื่อถือสูงสุด ไปจนถึงระดับต่ำสุด D ซึ่งหมายถึงผิดนัดชำระหนี้แล้ว
สำหรับความหมายของแต่ละอันดับเครดิต ได้แก่
เป็นระดับสูงสุด สะท้อนความแข็งแกร่งทางการคลัง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือสูงสุด โอกาสผิดนัดชำระหนี้แทบไม่มี นักลงทุนทั่วโลกมองว่าการลงทุนในพันธบัตรของประเทศระดับนี้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และเสถียรภาพสูง
ยังถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูง แม้จะต่ำกว่าระดับสูงสุดเล็กน้อย ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก
เป็นระดับที่แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่น่าเชื่อถืออยู่ แต่เริ่มมีความเสี่ยงในบางด้าน เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับความไว้วางใจในตลาดโลก
อยู่ในกลุ่ม Investment Grade ขั้นต่ำ หมายความว่ายังสามารถลงทุนได้ แต่อยู่ในจุดที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น หากอันดับลดลงจากจุดนี้ จะเข้าสู่กลุ่มที่มีลักษณะเป็น “เก็งกำไร” (Speculative Grade) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลง
เป็นกลุ่ม Speculative หรือ Non-Investment Grade ซึ่งหมายถึงมีความเสี่ยงสูงต่อการผิดนัดชำระหนี้ นักลงทุนที่เลือกลงทุนในระดับนี้มักต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความไม่แน่นอน และมักเป็นประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ การคลัง หรือการเมืองที่รุนแรง
เป็นอันดับต่ำสุด หมายถึงรัฐบาลผิดนัดชำระหนี้โดยสมบูรณ์ หรืออยู่ในภาวะล้มละลาย ไม่สามารถปฏิบัติตามพันธะสัญญาทางการเงินได้อีกต่อไป
แม้ว่าสถาบันจัดอันดับเครดิตแต่ละแห่งจะมีโมเดลวิเคราะห์และวิธีการให้คะแนนของตนเอง แต่โดยหลักแล้ว ทุกแห่งล้วนมองหา “ความสามารถ” และ “ความน่าเชื่อถือ” ของรัฐบาลในการชำระหนี้ในอนาคต ซึ่งวัดได้จากหลายปัจจัยเชิงเศรษฐกิจ การคลัง และประวัติด้านวินัยทางการเงิน ปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่ยังสะท้อนถึงโครงสร้างภายในของประเทศและแนวโน้มในระยะยาว
1. รายได้ประชาชาติต่อหัว (Per Capita Income)
รายได้เฉลี่ยของประชาชนในประเทศเป็นตัวแทนที่ดีของศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ยิ่งประชาชนมีรายได้สูง ฐานภาษีของรัฐบาลก็ยิ่งมั่นคง ซึ่งหมายถึงรัฐบาลจะมีความสามารถมากขึ้นในการจัดเก็บรายได้เพื่อนำไปใช้หนี้ นอกจากนี้ รายได้ต่อหัวมักสะท้อนถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและการเมืองในระดับหนึ่ง ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยสูงจึงมักถูกมองว่าเป็นคู่สัญญาทางการเงินที่ไว้ใจได้มากกว่า
2. การเติบโตของ GDP (GDP Growth)
GDP ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องช่วยเสริมความมั่นใจว่า ภาระหนี้ของรัฐบาลจะ “ลดน้ำหนัก” ลงเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น กล่าวง่าย ๆ คือ ถ้าเศรษฐกิจโตดี รายได้รัฐบาลก็จะโตตาม และหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะกลายเป็นเรื่องจัดการได้ง่ายขึ้นในอนาคต ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจซบเซาหรือถดถอย อันดับเครดิตก็จะสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทันที
3. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate)
เงินเฟ้อสูงกว่าระดับปกติ ไม่ได้แปลว่าราคาสินค้าแพงขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจสะท้อนถึงปัญหาในเชิงนโยบาย เช่น รัฐบาลขาดดุลงบประมาณจนต้องใช้วิธีพิมพ์เงินเข้าระบบแทนการกู้หรือตั้งงบอย่างมีวินัย หากสถานการณ์เงินเฟ้อควบคุมไม่ได้ ก็อาจทำให้ประชาชนไม่พอใจ กลายเป็นแรงกดดันทางการเมือง และท้ายที่สุดกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐในสายตานักลงทุน
4. ฐานะการคลังของรัฐบาล (Fiscal Balance)
การที่รัฐบาลมีงบขาดดุลไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป แต่ถ้าขาดดุลมากและเรื้อรัง โดยไม่มีแนวทางเพิ่มรายได้หรือควบคุมรายจ่ายให้สมดุล ย่อมสะท้อนว่ารัฐบาลอาจไม่มีความพร้อม หรือไม่เต็มใจในการจัดเก็บภาษีเพื่อบริหารภาระหนี้ของตนเอง ความไม่สมดุลทางการคลังจึงกลายเป็นปัจจัยลบสำคัญที่ฉุดอันดับเครดิตได้
5. ดุลบัญชีเดินสะพัด (External Balance)
ถ้าประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งภาครัฐและเอกชนพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศสูงเกินไป การพึ่งพาทุนภายนอกเช่นนี้อาจนำไปสู่ภาระหนี้ต่างประเทศที่สะสมขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดอาจกลายเป็นภาระที่ไม่สามารถจัดการได้หากเกิดความเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินโลก
6. หนี้ต่างประเทศ (External Debt)
ในหลายกรณี ปริมาณหนี้ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับ “โครงสร้างของหนี้” โดยเฉพาะหากเป็นหนี้สกุลเงินต่างประเทศ หากประเทศมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศไม่เพียงพอ เช่น รายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว ก็จะยิ่งเสี่ยงเมื่อค่าเงินในประเทศอ่อนค่าลง เพราะภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นอัตโนมัติทันทีโดยไม่ต้องกู้เพิ่ม ความไม่สมดุลนี้จึงเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และสถาบันจัดอันดับให้ความสำคัญอย่างมาก
7. ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development)
แม้จะใช้รายได้ต่อหัวเป็นตัวชี้วัดหนึ่งแล้ว แต่สถาบันจัดอันดับยังพิจารณาว่า ประเทศนั้น “พัฒนาแล้ว” หรือ “ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา” เพราะระดับของการพัฒนาเศรษฐกิจส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการบริหารความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น ประเทศอุตสาหกรรมมีตลาดการเงินที่ลึกกว่า ระบบการจัดเก็บภาษีที่เสถียรกว่า และมีมาตรการรองรับวิกฤตมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตได้อย่างชัดเจน
8. ประวัติการผิดนัดชำระหนี้ (Default History)
ไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดีเพียงใด หากประเทศเคยผิดนัดชำระหนี้ในอดีต โดยเฉพาะหนี้กับธนาคารต่างประเทศตั้งแต่ช่วงปี 1970 เป็นต้นมา ภาพลักษณ์ด้านเครดิตของประเทศนั้นก็จะถูกบันทึกไว้ในตลาดการเงินทันที งานวิจัยของ Eaton (1996) และ Ozler (1991) ต่างชี้ตรงกันว่า ประเทศที่เคยเบี้ยวหนี้จะเสียความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนไปอย่างมาก และฟื้นกลับได้ช้า แม้สภาพคล่องและดุลบัญชีจะดีขึ้นก็ตาม เพราะในโลกของการลงทุน “ชื่อเสียงด้านเครดิต” มีน้ำหนักไม่แพ้ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
จากที่ได้กล่าวถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่สถาบันจัดอันดับเครดิตใช้ในการวิเคราะห์ จะเห็นได้ชัดว่า "อันดับเครดิตของประเทศ" ไม่ใช่แค่เกรดหรือรหัสอักษรในรายงาน แต่เป็นตัวชี้วัดเชิงระบบที่สะท้อน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการคลัง และธรรมาภิบาลของรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรม
อันดับเครดิตที่ดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในกลุ่ม Investment Grade ไม่เพียงแต่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังนำมาซึ่งผลประโยชน์สำคัญในหลายมิติ ดังนี้
ในทางตรงกันข้าม หากอันดับเครดิตถูกปรับลดลง ผลกระทบที่ตามมามักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน 3 มิติสำคัญที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจมหภาค คือ
เมื่ออันดับเครดิตของประเทศถูกปรับลด นักลงทุนจะมองว่าความเสี่ยงในการปล่อยกู้ให้ประเทศนั้นสูงขึ้นทันที เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงขึ้นสำหรับการออกพันธบัตร
ผลที่เกิดขึ้นคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) จะปรับตัวสูงขึ้นตาม และเพราะ bond yield ถูกใช้เป็น “ฐานต้นทุน” ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เช่น ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน รถยนต์ หรือบัตรเครดิต เมื่อ bond yield สูงขึ้น ดอกเบี้ยของระบบเศรษฐกิจก็จะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
ท้ายที่สุด ภาคประชาชนและภาคธุรกิจจะเผชิญกับ ต้นทุนทางการเงินที่แพงขึ้น ทั้งในด้านการใช้จ่ายและการลงทุน ซึ่งมีแนวโน้มจะชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อันดับเครดิตของประเทศยังเป็น เกณฑ์ประกอบการตัดสินใจที่สำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในกรณีของการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment – FDI) เช่น การตั้งโรงงาน ศูนย์วิจัย หรือสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค
ประเทศที่มีอันดับเครดิตดีมักถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ มีนโยบายเศรษฐกิจที่เสถียร และสามารถบริหารภาระหนี้ได้ดี นักลงทุนจึงพร้อมจะลงเงินระยะยาว แต่ในทางตรงกันข้าม หากอันดับเครดิตถูกลดลง ความเชื่อมั่นก็จะถูกกระทบในทันที บางบริษัทอาจชะลอแผนลงทุน ถอนตัว หรือตั้งเงื่อนไขใหม่ เช่น ขอสิทธิพิเศษเพิ่มเติม หรือหันไปลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ในตลาดการเงินสากล มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนรวม และบริษัทประกันชีวิต ซึ่งมักมีนโยบายที่ชัดเจนว่า จะลงทุนเฉพาะในพันธบัตรของประเทศที่อยู่ในระดับ “Investment Grade” เท่านั้น
หากประเทศใดสูญเสียสถานะ Investment Grade และถูกลดชั้นลงไปอยู่ในกลุ่ม “เก็งกำไร” หรือ “Junk Grade” อาจต้องเผชิญกับ การเทขายสินทรัพย์ อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกระทบต่อ ค่าเงินของประเทศนั้น ให้ผันผวนทันที และทำให้ ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือ ภาพรวมของเสถียรภาพทางการเงินอาจสั่นคลอน และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเข้าสู่ภาวะเปราะบาง
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2025 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ปรับลดมุมมองแนวโน้ม (Outlook) อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยจาก "คงที่" (Stable) เป็น "ลบ" (Negative) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองครั้งแรกในรอบ 17 ปี นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2008 ในช่วงวิกฤตซับไพรม์ หรือที่รู้จักในชื่อ "วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์"
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เกิดขึ้นแม้ว่า Moody’s จะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ไว้ที่ระดับ Baa1 โดยให้เหตุผลหลักจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (External Risks) โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยโดยตรง
แม้จะถูกปรับลด Outlook แต่ Moody’s ยังคงให้การยอมรับจุดแข็งสำคัญของประเทศไทยในหลายด้าน ได้แก่
ในทางกลับกัน Moody’s ยังระบุปัจจัยเชิงลบที่ส่งผลต่อแนวโน้มเครดิตของไทย ได้แก่
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายฝ่ายมองว่า การปรับลด Outlook ครั้งนี้น่ากังวลกว่ารอบก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยที่ลากยาวเกินกว่าภาวะวิกฤตระยะสั้น ทั้งนี้การกลับไปสู่สถานะ Stable อาจต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกจากภาครัฐที่มากกว่าการกระตุ้นระยะสั้น แต่รวมถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านการคลังอย่างจริงจัง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ชี้ว่า มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปรับ Outlook ครั้งนี้แตกต่างจากปี 2551 คือ
ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นชัดเจน
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่ควร
KResearch เตือนว่า สถานะการคลังของไทยกำลังเผชิญความเปราะบางสูงขึ้น โดยเฉพาะหากอัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่าเป้าหมาย เช่น 2% ต่อปี แทนที่จะเป็น 3% ตามสมมุติฐานเดิม หนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ต่อ GDP ภายในปี 2570
แม้ Moody’s ยังไม่ได้ปรับลดอันดับเครดิตของไทย แต่การลด Outlook เป็น Negative ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่สามารถจัดการกับความเปราะบางด้านการคลังและการเติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรม
หากเกิดการปรับลดอันดับจริง ไทยอาจถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับประเทศอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แม้พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยจะยังเหนือกว่าในหลายด้าน แต่ช่องว่างความน่าเชื่อถือกำลังแคบลง
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากรัฐบาลต้องการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรแสดงให้เห็นถึง ประสิทธิภาพของการใช้จ่ายภาครัฐ ที่สามารถยกระดับขีดความสามารถการผลิตในระยะยาว มากกว่าการเน้นการบริโภคในระยะสั้น ทั้งนี้จำเป็นต้องมี การปฏิรูปโครงสร้างด้านการคลังอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ