งานวิจัยใหม่เผยความเชื่อมโยงระหว่างคุณภาพการนอนหลับของเหล่าพนักงาน กับการแสดงออกของบุคลิกภาพด้านลบในที่ทำงาน โดยผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Organizational Behavior พบว่า ในวันที่พนักงานนอนหลับได้ไม่ดี พวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงลักษณะของ “ด้านมืดสามประการ” ซึ่งได้แก่ พวกหลงตนเอง พวกแมคไควิลเลียน และพวกไซโคพาธ สูงขึ้น ชี้ให้เห็นว่าการนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการส่งผลต่อพฤติกรรมที่เป็นพิษในที่ทำงาน
ทั้งนี้ กลุ่มบุคลิกภาพที่เรียกว่า “ด้านมืดสามประการ” (dark triad) ได้แก่
บุคลิกภาพเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ที่ผ่านมา มักมองว่าลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะถาวรของบุคคล แต่การศึกษาล่าสุดนี้ได้หันมาให้ความสนใจกับ “ความเปลี่ยนแปลงระยะสั้น” หรือที่นักวิจัยเรียกว่า “ภาวะด้านมืดชั่วคราว” (dark triad states) เพราะคุณภาพและปริมาณการนอนหลับ อาจส่งผลต่อการแสดงออกชั่วคราวของลักษณะบุคลิกภาพด้านมืดเหล่านี้
ดร.เอวี คุยเปอร์ส นักวิจัยหลังจาก Vrije Universiteit Brussel และผู้เขียนงานวิจัย กล่าวว่า แรงบันดาลใจของการศึกษานี้มาจากการตระหนักว่า ในความเป็นจริง เราทุกคนต่างก็มีลักษณะบุคลิกภาพด้านมืดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอำนาจในองค์กร แต่บุคลิกภาพเหล่านี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชีวิตการทำงานประจำวัน ดังนั้นการตามหาปัจจัยที่กระตุ้นให้บุคลิกลักษณะด้านลบเหล่านี้แสดงออกมา จึงอาจเป็นประโยชน์เ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้มันพัฒนาไปสู่พฤติกรรมถาวรในระยะยาวได้
นักวิจัยได้ทำการศึกษาแบบประสบการณ์รายวัน (Experience Sampling) เป็นระยะเวลา 10 วัน กับกลุ่มผู้ใหญ่ที่ทำงานจำนวน 103 คนจากประเทศเบลเยียมและอาร์เจนตินา โดยผู้เข้าร่วมต้องตอบแบบสอบถามวันละสองครั้ง ได้แก่ ช่วงเช้าและช่วงบ่าย
ในแบบสอบถามช่วงเช้า ผู้เข้าร่วมจะประเมินคุณภาพและระยะเวลาการนอนหลับเมื่อคืนก่อน ส่วนแบบสอบถามช่วงบ่ายจะให้ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึกตลอดทั้งวัน รวมถึงระดับของ ความหลงตัวเอง (narcissism), ความเจ้าเล่ห์แแมคไควิลเลียน (Machiavellianism), จิตเภท (psychopathy) และ ความสามารถในการทนต่อความทุกข์ใจ (distress tolerance)
เพื่อวัดภาวะ "สามด้านมืด" ของบุคลิกภาพในแต่ละวัน นักวิจัยใช้แบบวัดที่ปรับปรุงจากแบบสอบถาม “Dirty Dozen” ซึ่งเป็นการประเมินตัวเองผ่านข้อความสั้น ๆ เช่น “วันนี้ฉันโกหกหรือหลอกลวงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ” พร้อมทั้งวัดความสามารถในการรับมือกับความไม่สบายใจทางอารมณ์ด้วยคำถามเพียงข้อเดียว เช่น “วันนี้ฉันรู้สึกสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีแค่ไหน”
โดยรวมแล้ว นักวิจัยรวบรวมข้อมูลได้ทั้งหมด 786 ชุด จากผู้เข้าร่วม และพบว่า ทั้งคุณภาพและระยะเวลาการนอนหลับมีความสัมพันธ์ทางลบกับการแสดงออกของภาวะบุคลิกภาพด้านมืดในแต่ละวัน กล่าวคือ ในวันที่นอนน้อยหรือนอนไม่ดี ผู้เข้าร่วมจะมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมที่หลอกลวง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือเย็นชามากขึ้นในที่ทำงาน
ทั้งสามองค์ประกอบของสามด้านมืด ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการนอนหลับ ตัวอย่างเช่น การนอนหลับไม่ดี มีแนวโน้มพยากรณ์ได้ถึง
ความสัมพันธ์เหล่านี้ยังคงมีนัยสำคัญ แม้ควบคุมความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่เพียงเพราะบางคนมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมเหล่านี้มากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว แต่ในวันใดก็ตามที่คนนั้นนอนหลับไม่ดี ก็มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมด้านมืดมากขึ้น
นักวิจัยยังทดสอบกลไกการเชื่อมโยงว่า ความสามารถในการทนต่อความทุกข์ใจ (distress tolerance) มีบทบาทเป็นตัวกลางระหว่างการนอนหลับกับพฤติกรรมด้านมืดหรือไม่ ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาด คือ การนอนหลับไม่ดีส่งผลให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกรับมือกับความเครียดหรือความหงุดหงิดได้น้อยลง ซึ่งส่งผลให้มีแนวโน้ม แสดงพฤติกรรมที่หลอกลวงหรือไม่เป็นมิตรทางสังคมมากขึ้นในระหว่างวัน
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากคุณภาพการนอนและระยะเวลาการนอน พบว่าคุณภาพการนอนมีอิทธิพลมากกว่า แสดงให้เห็นว่า “ความรู้สึกว่าหลับสบาย” อาจสำคัญต่อการควบคุมตนเองมากกว่าแค่จำนวนชั่วโมงที่นอน
ดร.คุยเปอร์สกล่าวว่า งานวิจัยนี้ศึกษาว่าการนอนหลับมีผลต่อแนวโน้มของคนในการแสดงพฤติกรรมด้านมืดในที่ทำงาน เช่น การหลอกลวงหรือการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างไร และพบว่าเมื่อคนนอนหลับไม่ดี ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขารับมือกับความเครียดได้ยากขึ้น ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนอนที่มีคุณภาพในการช่วยให้พนักงานจัดการอารมณ์ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อองค์กร
ผู้เขียนเน้นว่า ผลการศึกษานี้มีนัยสำคัญในทางปฏิบัติอย่างยิ่ง เนื่องจากพฤติกรรมในกลุ่ม Dark Triad สามารถทำลายความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ลดประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างบรรยากาศที่เป็นพิษในองค์กรได้
ดังนั้น การเข้าใจปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้สามารถช่วยให้นายจ้างพัฒนาแนวทางในการลดโอกาสเกิดพฤติกรรมเหล่านี้ได้
และเนื่องจาก การนอนหลับเป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับการทำงานของพนักงานในแต่ละวัน องค์กรจึงอาจพิจารณาส่งเสริมพฤติกรรมนอนหลับที่ดี เช่น
แม้ว่าการนอนหลับและภาวะบุคลิกภาพด้านมืดจะถูกวัดในช่วงเวลาต่างกันของวัน แต่ตัวแปรกลางอย่าง "ความสามารถในการทนต่อความเครียด" นั้นถูกวัดพร้อมกับตัวแปรผลลัพธ์ จึงอาจจำกัดความสามารถในการสรุปเหตุและผลอย่างชัดเจน
และการวัดทั้งหมดเป็นแบบประเมินตนเอง ซึ่งอาจมีอคติ (bias) จากมุมมองส่วนตัว และใช้มาตรวัดลักษณะด้านมืดแบบง่ายรายวัน ซึ่งอาจไม่ละเอียดเพียงพอในการจับพฤติกรรมจริงที่ซับซ้อน
ดร.คุยเปอร์สกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่างานวิจัยจะแสดงความเชื่อมโยงระหว่างการนอนกับพฤติกรรมด้านมืดในที่ทำงาน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการประเมินตนเองของผู้เข้าร่วม ซึ่งอาจไม่สะท้อนคุณภาพหรือระยะเวลาการนอนจริงของพวกเขาเสมอไป การใช้เทคโนโลยีติดตามการนอนอย่างแม่นยำน่าจะช่วยยืนยันและขยายผลการวิจัยนี้ได้ในอนาคต