Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ย้อนรอยร้าวอินเดีย-ปากีสถาน ฟาดฟันกันกว่า 8 ทศวรรษ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ย้อนรอยร้าวอินเดีย-ปากีสถาน ฟาดฟันกันกว่า 8 ทศวรรษ

7 พ.ค. 68
14:44 น.
แชร์

ชนวนเหตุก่อการร้ายพาฮัลแกม

เช้ามืดของวันที่ 7 พฤษภาคม รัฐบาลอินเดียเปิดฉากโจมตีด้วยขีปนาวุธ ภายใต้ “ปฏิบัติการซินดูร์” หรือที่อินเดียเรียกว่าการโจมตีอย่างแม่นยำ โดยกำหนดจุดยุทธศาสตร์ 9 แห่ง พุ่งเป้าไปที่แหล่งโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มการร้ายในปากีสถาน  กลุ่มติดอาวุธ Jaish-e-Muhammad และ Lashkar-e-Taiba  ด้านปากีสถานออกมาประณามว่าการโจมตีของอินเดียไม่ได้พุ่งเป้าที่ก่อการร้าย แต่เป็นการยั่วยุอันชั่วร้าย และทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต พร้อมตอบโต้ด้วยการยิงเครื่องบินรบของอินเดียตก 

ความเคลื่อนไหวที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก เกิดจากชนวนเหตุก่อการร้ายในเมืองพาฮัลแกม เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มชายติดอาวุธก่อเหตุยิงนักท่องเที่ยว จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย รัฐบาลอินเดียเชื่อว่าปากีสถานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยให้ที่ซ่องสุมกับกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว แม้รัฐบาลอิสลามาบัดจะออกมาปฏิเสธเสียงแข้ง แต่ทั้งสองประเทศก็เดินหน้าลดความสัมพันธ์กันแล้ว เริ่มตั้งแต่ขับไล่พลเมือง ปิดจุดผ่านชายแดน ปิดน่านฟ้า ฉีกสนธิสัญญาการใช้แม่น้ำสินธุร่วมกัน จนมาถึงขั้นโจมตีรุนแรงในเช้าวันที่ 7 พฤษภาคม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ ซึ่งมีประชากรรวมกันมากกว่า 1,600 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในห้าของประชากรโลก ตกอยู่ในภาวะความตึงเครียดของการเกิดสงครามระดับภูมิภาค Spotlight ชวนย้อนเหตุการณ์รอยร้าวของอินเดียและปากีสถาน ที่ลึกกว่าเหตุก่อการร้ายครั้งล่าสุดในแคชเมียร์ เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดการก่อการร้ายในเมืองเล็ก ๆ จึงลุกลามเป็นสงครามที่ทั่วโลกต่างกังวล

อาณานิคมสิ้นสุด จุดเริ่มต้นขัดแย้ง

หากจะย้อนรอยถึงจุดเริ่มต้น เชื่อกันว่าความขัดแย้งของสองประเทศเกิดขึ้นราว 78 ปีก่อน เมื่อสิ้นสุดการปกครองอาณานิคมของอังกฤษในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1947 และเกิดการแบ่งแยกประเทศเป็น “อินเดีย” ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู และ “ปากีสถาน” มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ขณะนั้น มีพื้นที่ชายแดนหลายจุดถูกจัดตั้งเป็นรัฐปกครองตนเอง หนึ่งในนั้น “จัมมูและแคชเมียร์” ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนืออินเดีย ได้รับทางเลือกในการเข้าร่วมประเทศใดประเทศหนึ่ง

มหาราชาแห่งแคชเมียร์ทรงพยายามเรียกร้องเอกราชจากทั้งสองประเทศ หมายถึงไม่ต้องการเข้าร่วมกับประเทศใดเลย และต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากทั้งสองประเทศ แต่ต่อมาทรงเลือกที่จะเข้าร่วมกับอินเดียหลังจากที่ปากีสถานรุกราน ส่งผลให้เกิดสงครามครั้งแรกระหว่างปี ค.ศ. 1947-1948 ตามมาด้วยสงครามเต็มรูปแบบอีกสองครั้งในภูมิภาคนี้ในปี ค.ศ. 1965 และ ค.ศ. 1971 

  • สงครามอินเดียปากีสถาน ยกที่ 1 (ค.ศ. 1947-1948)

 ในช่วงเวลาดังกล่าว มหาราชาผู้ปกครองแคชเมียร์ ฮาริ สิงห์ ซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้เข้าควบคุมภูมิภาคนี้ตามข้อตกลงกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1846 พยายามจะแยกตัวเป็นอิสระไม่เข้าร่วมกับฝั่งใด หรือประมาณ 100 ปีก่อนอินเดียประกาศเอกราช  แต่ในขณะนั้น ชาวแคชเมียร์ที่สนับสนุนปากีสถานได้ก่อกบฏต่อต้านการปกครองของเขา กลุ่มติดอาวุธจากปากีสถานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศได้บุกโจมตีและพยายามยึดครองพื้นที่ดังกล่าว

ฮารี ซิงห์ ร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากอินเดีย โดยมีรัฐบาลของเนห์รูเข้าแทรกแซงภายใต้เงื่อนไขว่า มหาราชาต้องลงนามในตราสารการเข้าร่วมเพื่อรวมจัมมูและแคชเมียร์เข้ากับอินเดีย ดินแดนแคชเมียร์แห่งนี้จึงตกเป็นของอินเดีย ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 1947 นับว่าเป็นเวลาไม่กี่เดือนหลังประกาศเอกราช ทำให้รัฐบาลอินเดียมีอำนาจเหนือเขาแคชเมียร์ จัมมูและลาดักห์

อินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานเป็นผู้รุกรานในความขัดแย้ง ซึ่งปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และได้ยื่นเรื่องต่อสหประชาชาติในเดือนมกราคมปีถัดมา โดยมติสำคัญคือขอให้มีการลงประชามติของคนในพื้นที่ว่าแคชเมียร์จะเข้าร่วมกับปากีสถานหรืออินเดีย แต่เกือบ 80 ปีต่อมา ก็ยังไม่มีการลงประชามติอีกเลย ซึ่งเป็นที่มาของความไม่พอใจของชาวแคชเมียร์ ขณะที่เขตชายแดนดังกล่าวเกิดความรุนแรงในการยิงโต้ตอบกัน อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งแรกในแคชเมียร์สิ้นสุดลงเพราะสหประชาชาติยื่นมือเข้ามาใช้มาตรการหยุดยิง ซึ่งลงนามกันที่กรุงการาจี เมืองหลวงของปากีสถานในขณะนั้น

  • สงครามอินเดียปากีสถาน ยกที่ 2 (ค.ศ. 1965)

ถัดมาในปีค.ศ. 1953 ชีคอับดุลลาห์ ผู้นำชาวแคชเมียร์ที่ยังยึดติดกับการแยกตัวเป็นเอกราช ได้ก่อตั้งการประชุมแห่งชาติจัมมูและแคชเมียร์ (JKNC) และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งระดับรัฐในแคชเมียร์ ความนิยมของเขาสะท้อนเสียงชาวพื้นเมืองที่ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย จนทำให้รัฐบาลอินเดียถึงกับนั่งไม่ติด และดำเนินการจับกุมเขาในเวลาต่อมา จึงเป็นรอยร้าวทวีความคับแค้นใจของคนพื้นเมืองบางส่วน 

ในปีค.ศ. 1965 อินเดียและปากีสถานก็ทำสงครามกันในภูมิภาคนี้อีกครั้ง ปากีสถานหวังที่จะช่วยเหลือชาวแคชเมียร์และยุยงให้เกิดการลุกฮือในพื้นที่ แต่สงครามก็สิ้นสุดลงด้วยภาวะทางตัน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงภายใต้การกำกับดูแลของสหประชาชาติอีกครั้ง

  • สงครามอินเดียปากีสถาน ยกที่ 3 (ค.ศ. 1971)

สงครามครั้งนี้มีรากฐานมาจากความขัดแย้งภายในประเทศปากีสถานเอง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออก ในฝั่งตะวันออกไม่พอใจเพราะรู้สึกเลือกปฏิบัติและไม่ได้รับการยอมรับทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมจากรัฐบาลกลางที่อยู่ในปากีสถานตะวันตก แม้ผู้นำฝั่งตะวันออกจะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ปากีสถานตะวันตกไม่ยอมรับและเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง 

อินเดียก้าวเท้าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ Mukti Bahini ในปากีสถานตะวันออก ทั้งส่งอาวุธ ฝึกทหาร และที่พักพิงแก่ผู้นำและผู้ลี้ภัย สงครามอินเดีย-ปากีสถานจึงอีกครั้งเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1971 อย่างเป็นทางการ กองทัพอินเดียและกลุ่ม Mukti Bahini สามารถปิดล้อมและเอาชนะกองทัพปากีสถานได้อย่างรวดเร็ว ทหารปากีสถานมากกว่า 90,000 นายถูกจับกุมเป็นเชลยศึก ผู้บัญชาการกองทัพปากีสถานในปากีสถานตะวันออก ได้ลงนามในเอกสารยอมจำนนในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1971 ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของสงครามคือการก่อตั้งประเทศบังกลาเทศ จากปากีสถานตะวันออก 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อินเดียและปากีสถาน รวมถึงพื้นที่แคชเมียร์ยังมีความขัดแย้งเล็ก ๆ กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เคยเป็นสงครามที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายมุ่งโจมตีเต็มรูปแบบ หลายฝ่ายรวมทั้งอินเดียและปากีสถานเองมองว่าทั้งสองประเทศไม่ได้มีความขัดแย้งกันมานานแล้ว การโจมตีระหว่างกันที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด เปรียบเสมือนปลุกเสือที่หลับใหลมาอย่างยาวนานให้ตื่นขึ้น สั่นสะเทือนภูมิภาคเอเชียใต้อีกครั้ง

ปัจจุบัน ปากีสถานปกครองพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกของแคชเมียร์ ได้แก่ อาซาดแคชเมียร์ กิลกิต และบัลติสถาน อินเดียปกครองพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงหุบเขาแคชเมียร์และศรีนาการ์ เมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคชเมียร์ รวมถึงจัมมูและลาดักห์ เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ภูมิภาคนี้มีพื้นที่ 222,200 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 4 ล้านคนอาศัยอยู่ในแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน และ 13 ล้านคนอาศัยอยู่ในจัมมูและแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดีย


แชร์
ย้อนรอยร้าวอินเดีย-ปากีสถาน ฟาดฟันกันกว่า 8 ทศวรรษ