การลาจากเป็นเรื่องเศร้า หลายครั้งเราก็ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของที่รัก Amazon จึงออกฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดให้ลำโพงเอไออัจฉริยะ Alexa สามารถนำเสียงคนที่เสียชีวิตไปแล้ว กลับมาคุยกับเราได้ใหม่
จะดีแค่ไหนถ้าเทคโนโลยียุคใหม่ ช่วยให้เราสามารถคุยกับคนที่จากไปแล้วได้
งานนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อปรโลก แต่เป็นการใช้ "ระบบผู้ช่วยสั่งงานด้วยเสียง" ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาจดจำเสียงของผู้เสียชีวิตที่เราเก็บบันทึกไว้ โดยอาจเป็นคลิปวิดีโอ หรือไฟล์เสียงสนทนาที่เรามีเก็บไว้ จากนั้น AI จะบันทึกและใช้เสียงของคนๆ นั้น เป็นเสียงของผู้ช่วยเสมือนที่มาสนทนากับเรา
บริษัทที่นำเอไอมาใช้เชื่อมความคิดถึงแบบนี้ก็คือ Amazon ของเจฟฟ์ เบโซส อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก โดยจะนำมาใช้ในลำโพงเอไออัจฉริยะ Alexa สินค้าขายดีของบริษัท ที่ใช้รับคำสั่งเราได้อัตโนมัติ ตั้งแต่เปิดเพลง รายงานสภาพอากาศ สั่งให้ทำงานอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหลายในบ้าน แม้กระทั่งเป็นเพื่อนแก้เหงา 
ถ้าไม่เคยลองใช้ลำโพงแบบนี้ ก็ให้นึกถึงระบบผู้ช่วยเสมือน (Virtual assistant) ในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เช่น Siri กับ Google Assistant ที่เป็นเพื่อนแก้เหงาให้เราได้เป็นอย่างดี
โรฮิต ปราสาด รองประธานอาวุโสของแอมะซอน และเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของทีม Alexa เปิดเผยเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้ โดยอธิบายว่า ฟีเจอร์นี้จะใช้เพียงบันทึกเสียงของคนที่ต้องการ และเมื่อใส่เข้าระบบแล้ว AI จะใช้บันทึกเสียงนั้นสร้างโครงสร้างเสียงทั้งหมดได้
เขาย้ำว่า "เสียงนี้อาจไม่ได้ช่วยขจัดความเจ็บปวดจากการสูญเสียได้ แต่เสียงนี้จะช่วยให้ความทรงจำของบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ตลอดไป"
อย่างไรก็ตาม แม้จุดเริ่มต้นอาจมาจากไอเดียที่ดี แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางฝ่ายกังวลว่า ฟีเจอร์นี้อาจจุดชนวนความกังวลต่อความปลอดภัยและจริยธรรม
เรเชล โทแบค ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ กล่าวกับวอชิงตันโพสต์ ว่า เทคโนโลยีนี้อาจถูกใช้ก่ออาชญากรรมได้ เช่น หลอกลวงผ่านการใช้เสียงปลอม เป็นต้น
ขณะที่ทามา ลีเวอร์ อาจารย์ด้านอินเทอร์เน็ตศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคอร์ทิน มองว่า เทคโนโลยีนี้อาจขัดต่อจริยธรรม เพราะผู้เสียชีวิตคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีหุ่นยนต์มาใช้เสียงของตัวเองหลังจากที่ตายไปแล้ว
ซึ่งถ้ายังไม่ตาย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมหรือรู้สึกยินดีกับไอเดียนี้ไหม หรืออาจจะคิดว่าคนตายแล้วก็ปล่อยวางเสียเถอะ
เพราะความแนวคิดนี้ยังเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงต่อความเหมาะสมอยู่นั่นเอง ทางแอมะซอนจึงยังไม่มีการเปิดเผยว่า จะเปิดให้สาธารณะชนใช้งานฟีเจอร์นี้ได้จริงๆ หรือไม่ หรือจะเปิดตัวออกมาเมื่อไรกันแน่