เมื่อวันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568 สมาชิกเสียงข้างมากในรัฐสภายุโรปผ่านข้อตกลงผ่อนปรนความเข้มงวดของกฎหมายความยั่งยืน โดยให้เหตุผลว่า ภาคเอกชนต้องรับภาระมากเกินไป
กฎหมายดังกล่าวคือ กฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบความรับผิดชอบด้านความยั่งยืนของภาคธุรกิจของสหภาพยุโรป (The European Union’s Corporate Sustainability Due Diligence Directive: CSDDD) ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567
อย่างไรก็ตาม CSDDD จะบังคับใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะมีเวลาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2569 เพื่อดำเนินการนำกฎหมายฉบับนี้ไปบรรจุไว้ในกฎหมายภายในประเทศของตน และจะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2570
CSDDD มีจุดประสงค์เพื่อบีบให้ภาคเอกชนรับผิดชอบด้านความยั่งยืนมากขึ้น และกำกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่คุณค่าด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม แต่กลับกลายเป็นข้อถกเถียงอย่างมากในแวดวงการเมืองสีเขียวถึงความเข้มงวดของกฎหมายฉบับนี้
ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้เจรจาเพื่อปรับแก้กฎหมายให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับบริษัทในสหภาพยุโรป หลังได้รับแรงกดดันจากฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ กาตาร์ และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Exxon ที่ออกมาโจมตีกฎหมายดังกล่าว โดยระบุว่าจะเป็นการผลักภาคธุรกิจให้ออกจากสหภาพยุโรป
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กลุ่มพรรคประชาชนยุโรป (EPP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองสายกลาง-ขวา และมีสัดส่วนสมาชิกรัฐสภามากที่สุดในยุโรป ได้บรรลุข้อตกลงกับสมาชิกสภาฝ่ายสังคมนิยมและเสรีนิยมในการปรับลดข้อบังคับในกฎหมาย CSDDD
กฎหมายนี้บังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่กว่า 6,000 แห่งในสหภาพยุโรปที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คนขึ้นไป และมียอดขายสุทธิทั่วโลกมากกว่า 450 ล้านยูโร หรือราว 17,051 ล้านบาท รวมถึงบริษัทยักษ์นอกสหภาพยุโรปอีกราว 900 แห่งที่มียอดขายสุทธิมากกว่า 450 ล้านยูโรภายในสหภาพยุโรป
วิสาหกิจขนาดย่อมและ SME ไม่ถูกรวมอยู่ในกลุ่มบริษัทที่ต้องปฏิบัติตาม CSDDD อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบจากการเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทขนาดใหญ่
CSDDD คาดว่า จะช่วยเพิ่มความรับผิดชอบให้ภาคธุรกิจในการกำกับดูแลแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ด้วยการตรวจสอบห่วงโซ่คุณค่าอย่างครอบคลุม เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยืดหยุ่นมากขึ้น
ในระดับประเทศ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะต้องบังคับใช้กฎหมายผ่านการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และกำหนดบทลงโทษ ซึ่งรวมถึงค่าปรับและคำสั่งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านกระบวนการทางแพ่ง
ในระดับสหภาพยุโรป จะมีเครือข่ายหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อประสานการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายได้
หากบริษัทไม่ชำระค่าปรับ ข้อตกลงเบื้องต้นระบุว่า จะมีการนำมาตรการบังคับทางกฎหมายมาใช้ รวมถึงการคำนวณโทษปรับโดยพิจารณาจากรายได้ของบริษัท ซึ่งอาจสูงถึง 5% ของรายได้สุทธิของบริษัท
นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎหมาย CSDDD ยังอาจถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณามอบสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐหรือสัมปทานด้วย
CSDDD มีผลโดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน การเกษตร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องนุ่งห่ม
บริษัทต่าง ๆ ต้องกำหนดหรือปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบสถานะ (Due Diligence) อย่างเร่งด่วน โดยเน้นการประเมินความเสี่ยง การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งรวมถึงการนำเกณฑ์ด้านความยั่งยืนมาผนวกไว้ในนโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง การปรับปรุงกลไกการเยียวยาข้อร้องเรียน และการจัดตั้งระบบเพื่อติดตามและรายงานการตรวจสอบสถานะอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่า CSDDD ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง เนื่องจากตั้งอยู่บนแนวทางของสหภาพยุโรปที่เน้น “การกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ” ซึ่งประสิทธิภาพของกฎหมายก็ยังขึ้นอยู่กับการบังคับใช้และการกำกับดูแล
การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ จากข้อตกลงในสภายุโรปจะกระทบต่อบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 5,000 คน ซึ่งมีรายได้สุทธิมากกว่า 1,500 ล้านยูโร หรือราว 56,839 ล้านบาท
เยอร์เกน วอร์บอร์น สมาชิกรัฐสภายุโรปจากพรรคประชาชนยุโรป (EPP) ผู้เป็นผู้นำในการเจรจา กล่าวว่า
“ผมมุ่งหมายที่จะสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ยุโรปเติบโตอีกครั้ง เราจะสามารถสร้างงานได้มากขึ้น และมีความมั่งคั่งในระยะยาว”
แม้นักรณรงค์บางกลุ่มจะคัดค้านการเปลี่ยนแปลง โดยชี้ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนและภาคธุรกิจไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ แต่สหภาพยุโรปก็แย้งว่า จำเป็นต้องมีการปรับแก้เพื่อหลีกเลี่ยงภาระที่มากเกินไป
ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภากลุ่ม The Socialists and Democrats Group (S&D) ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา พวกเขาได้ตกลงเข้าร่วมข้อตกลงนี้ หลังจากที่พรรคประชาชนยุโรป (EPP) ขู่ว่าจะทำข้อตกลงกับกลุ่มสมาชิกรัฐสภาฝ่ายขวาจัดแทน ซึ่งอาจทำให้กฎหมายนี้อ่อนแอลงไปอีก
“ข้อตกลงประนีประนอมนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือข้อตกลงของพรรคประชาชนยุโรป (EPP) กับฝ่ายขวาจัด ซึ่งยิ่งแย่กว่า”
รัฐสภายุโรปจะลงมติในข้อตกลงฉบับนี้ภายในปลายเดือนนี้ ก่อนจะเข้าสู่การเจรจาเพื่อปรับแก้กฎหมายขั้นสุดท้ายร่วมกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
ที่มา: Reuters, Ecoactive, EU Commission